เส้นทางของ 7 หนุ่ม BTS Pt.2 เลือด หยาดเหงื่อและน้ำตาของเส้นทางความสำเร็จ
เส้นทางของ 7 หนุ่ม BTS Pt.2 เมื่อปีก่อน BTS ออกอัลบั้มใหม่ถึง 3 ชุด และทำยอดขายอย่างถล่มทลายไม่แพ้กัน โดยอัลบั้ม Map of the Soul: 7 ที่วางแผงในเดือนกุมภาพันธ์ ครองอันดับ 1 อัลบั้มที่ ‘ทำยอดขายสูงที่สุดในโลก’ ประจำปี 2020 จากการจัดอันดับของ IFPI (International Federation of the Phonographic Industry)
ตามมาด้วยอัลบั้ม BE (Deluxe Edition) ในอันดับ 2 ที่เอาชนะศิลปินดังทั้ง เทย์เลอร์ สวิฟต์ และ จัสติน บีเบอร์ ไปได้ ส่วนอัลบั้ม Map of the Soul: 7 ~ The Journey ก็ขายดีอยู่ในอันดับที่ 8
ซึ่งรวมแล้วทั้ง 3 อัลบั้มทำยอดขายทั่วโลกรวมกันไป 8.7 ล้านก๊อบปี้ (นับรวมทั้งยอดซีดีอัลบั้มและดิจิทัลดาวน์โหลด) จนขึ้นแท่นเป็นเจ้าของสถิติ 3 อัลบั้มบนชาร์ตสิ้นปีของ IFPI ร่วมกับราชาเพลงป๊อปผู้ล่วงลับ ไมเคิล แจ็คสัน (ที่ครองสถิติมา 12 ปี) ได้อย่างเรียบร้อยโรงเรียนเกาหลี
และแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ BTS ต้องยกเลิก World Tour แต่พวกเขาก็ยังจัดคอนเสิร์ตแบบออนไลน์ และก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่จัดถึง 2 ครั้ง (Bang Bang Con the Live
ในเดือนมิถุนายน และ Map of the Soul ON:E ในเดือนตุลาคม) โดยทำยอดขายบัตรรวมกันได้เกือบ 1.75 ล้านใบ คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,000 กว่าล้านบาท
ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ BTS สร้างรายได้ให้บริษัทต้นสังกัด Big Hit Entertainment อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทำให้บริษัทที่เกือบล้มละลายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2018 จนในปี 2020 ก็สามารถเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ KOSPI
แถมยังทำสถิติราคาขายหุ้น (IPO) เป็นประวัติการณ์หลังปิดตลาดวันแรก มูลค่าตลาดของ Big Hit พุ่งสูงราว 8.7 ล้านล้านวอน ทำให้ บังชีฮยอก CEO ของค่าย กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ในเกาหลีใต้ และทำให้ BTS กลายมาเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทนี้ด้วย กล่าวคือเป็นทั้งศิลปินและเจ้าของบริษัทไปในตัว – ซึ่งทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในปี 2020 เพียงปีเดียว!
The Truth Untold : เผยความจริงของกลยุทธ์ ‘ศิลปินคือศูนย์กลาง’ เส้นทางของ 7 หนุ่ม BTS Pt.2
บังชีฮยอก CEO ของ Big Hit Entertainment สนับสนุนให้สมาชิก BTS แสดงความรู้สึกของตนเองออกมาผ่านบทเพลงเพื่อที่จะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการพูดความรู้สึกแทนคนรุ่นเดียวกัน บังทันจึงได้มีส่วนร่วมในการทำเพลงมากขึ้น นับตั้งแต่อัลบั้ม The Most Beautiful Moment Pt.1 (2015) ที่สะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตและการรับมือปัญหาต่างๆ ในช่วงวัยรุ่นคึกคะนอง,
อัลบั้ม Wings (2016) ที่พูดถึงการก้าวพ้นจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งสมาชิกได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านหนังสือ Demian (1919) ของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ที่มีธีมว่าด้วยความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มผู้กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่, อัลบั้ม Map of the Soul: 7 ที่ตั้งคำถามกับตัวตนทั้งด้านสว่างในฐานะไอดอลและด้านมืดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากทฤษฎีจิตวิทยาของ คาร์ล จุง ในหนังสือ Jung’s Map of the Soul (1998) มาจนถึงอัลบั้มล่าสุด BE (2020) เป็นอัลบั้มที่บังทันมีส่วนร่วมในการทำงานมากที่สุด โดยมีธีมคือการรับมือกับความหดหู่ของโลกยุคปัจจุบัน (โดยเฉพาะจากสถานการณ์โควิด-19) และการส่งพลังด้านบวกให้แก่แฟนเพลง
อาจกล่าวได้ว่า นอกจากการมีส่วนร่วมในการทำงานของ BTS จะเป็นการสะท้อนตัวตนและความคิดของคนรุ่นเดียวกับพวกเขาแล้ว ยังทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะอีกด้วย
Go Go : เมื่อบังทัน ‘โก อินเตอร์’ เต็มตัว
ในปี 2017 BTS ออกอัลบั้ม Love Yourself: Her ที่เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์อัลบั้ม Love Yourself ซึ่งมีธีมหลักเกี่ยวกับการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเองและการรักในสิ่งที่ตนเองเป็นให้ได้ ก่อนที่จะไปรักคนอื่น
ซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็น ‘วัยรุ่นวัยที่กำลังค้นหาตัวตน’ ได้ บังทันจึงมีโอกาสร่วมงานกับ UNICEF ในโครงการ Love Myself เพื่อส่งเสริมให้วัยรุ่นมีความรักและเชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น บังทันยังได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีศิลปิน K-Pop กลุ่มใดทำได้มาก่อน นั่นคือการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเวทีประชุมสำหรับผู้นำระดับโลกเท่านั้น
จากผลงานอันโดดเด่นในการเป็นตัวแทนของวัยรุ่น ทำให้บังทันได้รับการขนานนามว่า ‘ผู้นำของคนรุ่นใหม่’ และได้รับเลือกให้ขึ้นปกนิตยสาร Time อีกด้วย จนกระทั่งในปี 2018 รัฐบาลเกาหลีใต้จึงมอบรางวัลสดุดีให้แก่ BTS ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีให้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก
เมื่องานหลวงมีไม่ขาด งานราษฎร์ก็ต้องไม่บกพร่อง เพราะในส่วนของงานเพลง บังทันมีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอ็ด เชียร์แรน, นิคกิ มินาจ, ฮาลซีย์, สตีฟ อาโอกิ, The Chainsmoker, ลิล แนส เอ็กซ์, เลิฟ หรือ เซีย ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงการที่ BTS ได้รับการยอมรับในฐานะศิลปินมากขึ้นด้วย
Win No Matter What! : ชนะรางวัลใหญ่ ไม่สำคัญเท่าชนะใจแฟนเพลงทั่วโลก
ก่อนหน้าที่จะได้เข้าชิงรางวัล Grammy Awards บังทันเคยชิงและชนะรางวัลระดับโลกมาแล้ว แถมเป็นศิลปินที่ได้ชื่อว่า ‘สร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปิน K-Pop กลุ่มแรก’ ในหลายเวที เช่น การได้รับรางวัล Top Social Artist เป็นเวลา 4 ปีซ้อน
นับตั้งแต่ปี 2017 (ซึ่งเป็นรางวัลที่ จัสติน บีเบอร์ เคยชนะถึง 6 ปีซ้อน!) ในงาน Billboard Music Awards หรือการได้รับรางวัล Favorite Social Artist (ปี 2018, 2019 กับ 2020) และ Favorite Duo or Group – Pop/Rock (ปี 2019 กับ 2020) ในงาน American Music Awards มาแล้วหลายปีติดต่อกัน
ส่วนอัลบั้มของบังทันก็สร้างสถิติเช่นกัน เพราะในปี 2018 อัลบั้ม Love Yourself: Tear ทำให้ BTS กลายเป็นศิลปิน K-Pop กลุ่มแรกที่มีอัลบั้มเปิดตัวอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 200 ซึ่งเป็นการจัดอันดับความนิยมของอัลบั้มเพลงในอเมริกา
ก่อนที่ทุกอัลบั้มถัดจากนั้นของ BTS อย่าง Love Yourself: Answer, Map of the Soul: Persona, Map of the Soul: 7 และ BE ต่างเปิดตัวอันดับ 1 ทั้งสิ้น
ทำให้ BTS สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีอัลบั้มเปิดตัวที่ 1 ติดต่อกัน 5 อัลบั้ม เทียบเท่าสถิติของศิลปินระดับตำนานอย่าง The Beatles ที่เคยทำสถิติไว้ที่ 4 อัลบั้มเมื่อปี 1968 ซึ่งจากปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้สื่อต่างชาติตั้งฉายาให้ BTS ว่าเป็น ‘The Beatles แห่งศตวรรษที่ 21’ กันเลยทีเดียว
ทั้ง 7 หนุ่มไม่เพียงโด่งดังแค่ในฝั่งอเมริกา แต่ในฝั่งยุโรป-โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร-ที่ว่ากันว่าศิลปินจากเอเชีย ‘ตีตลาด’ ได้ยากนั้น BTS ก็ไปปักธงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยในปี 2019 บังทันกลายเป็น K-Pop กลุ่มแรกที่ได้เปิดการแสดงใน Wembley Stadium ที่นักดนตรีระดับตำนานอย่าง The Beatles, Queen หรือไมเคิล แจ็คสัน เคยเปิดการแสดงมาแล้ว
นอกจากนี้ BTS ยังมีอัลบั้มที่ได้รับการรับรองยอดขายในระดับ Gold (ยอดขายเกิน 100,000 ชุดในสหราชอาณาจักร) จาก British Phonographic Industry (BPI) ถึง 3 อัลบั้ม คือ Love Yourself: Answer, Map of the Soul: Persona และ Map of the Soul: 7
เหล่านี้ไม่ใช่วีรกรรม ‘ทั้งหมด’ ของบังทัน แต่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความพยายามอันไม่มีที่สิ้นสุดของพวกเขา แต่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง BTS ก็ไม่ได้หลงอยู่กับชื่อเสียง พวกเขายังคงถ่อมตัวและไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดให้แฟนๆ ต่อไป
We Connect To 7G : เชื่อมต่อโลกโซเชียล มีเดียอย่างทรงพลังแบบบังทัน
BTS เป็นหนึ่งในศิลปินที่เชี่ยวชาญการใช้สื่อออนไลน์ โดยทางวงมี account ทวิตเตอร์ในการสื่อสารกับอาร์มี่ทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2012 (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศิลปินฝั่งตะวันออกยังไม่นิยมใช้กันมากนัก) เพื่อลดช่องว่างระหว่างศิลปินกับแฟนคลับให้มีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี account ออนไลน์ในแพลตฟอร์มอื่นๆ
เพื่อเผยแพร่ผลงานต่างๆ (เช่น สื่อโปรโมต, วิดีโอบันทึกการแสดงสด, เบื้องหลังกิจกรรมต่างๆ, วิดีโอซ้อมเต้น ฯลฯ) ทั้งทาง YouTube (BangtanTV), Facebook, Instagram, V Live, TikTok, Weibo, Youku รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Weverse ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครือ Big Hit ในการสื่อสารกับแฟนๆ และ Weverse Shop สำหรับช่องทางการขายสินค้าที่ระลึก
ดังนั้น แม้โลกจะยังตกอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 วง BTS ก็ยังใช้ Twitter, V Live และ Weverse ในการสื่อสารกับอาร์มี่ผ่านสื่อโปรโมตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นการให้กำลังใจแฟนคลับกลุ่มเดิมแล้ว
บังทันก็ยังได้แฟนคลับกลุ่มใหม่เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลด้วย โดยในปี 2020 BTS เป็นศิลปิน K-Pop ที่มียอดผู้ติดตามมากที่สุดถึงเกือบ 34 ล้าน followers ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันความนิยมของพวกเขาได้อย่างดี
แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังช่วยให้อาร์มี่สามารถสร้างเครือข่ายในการสนับสนุน BTS ได้อย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงกลางปี 2020 ที่ BTS ทวีตให้การสนับสนุน Black Lives Matter เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้คนผิวดำ และบริจาคเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับแคมเปญนี้
ทางอาร์มี่ก็ช่วยกันสร้างแฮชแท็ก #MatchAMillion เพื่อระดมทุนให้ได้ 1 ล้านเหรียญฯ เท่ากับ BTS แล้วบริจาคให้ Black Lives Matter เช่นกัน ซึ่งนี่คือพลังของการใช้โซเชียล มีเดียในการส่งต่อพลังบวกให้กันและกันอย่างแท้จริง
บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> ถอดรหัส BTS
เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เกมออนไลน์
>>>>> UFABET