10 เพลงเนื้อหารุนแรง BTS

10 เพลงเนื้อหารุนแรง BTS ความเจ็บปวดผ่านบทเพลง

10 เพลงเนื้อหารุนแรง BTS กับความเจ็บปวดที่ตีแผ่ผ่านบทเพลงอันหนักแน่น

10 เพลงเนื้อหารุนแรง BTS ชื่อบทความอาจอ่านแล้วตกใจไปสักหน่อย แต่ครั้งนี้เรามานำเสนอเพลงของบังทันที่มีเนื้อหารุนแรง รุนแรงในแง่ของการเปรียบเทียบเปรียบเปรยเชิงลึกในสังคมปัจจุบัน

อย่างที่เรารู้กันว่าบังทันเป็นวงที่ทำเพลงเสียดสีสังคมประชดประชันกันเก่งมาก เราเลยเอาเพลงมาตีความออกมา 10 เพลงที่มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงในแง่ความจริงแฝงอยู่ ยังไงก็ลองฟังและอ่านการตีความของเราดูนะ

School of Tears 10 เพลงเนื้อหารุนแรง BTS

หลายคนอาจไม่รู้จักเพลงนี้สักเท่าไหร่ หากพูดถึงเพลงของ BTS เพลง School of Tears เป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกใช้โปรโมทที่ไหน เป็นเพียงแค่เพลงที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงก่อนเดบิวท์เพียงไม่นาน มีเพียง 3 สมาชิกที่ร้องเพลงนี้ ได้แก่ จิน อาร์เอ็ม (หรือชื่อเก่า : แรปมอนสเตอร์) และชูก้า

ซึ่งพอเพลงนี้ได้ถูกปล่อยออกมาเป็นเหมือนการแสดงถึงการวางรูปแบบวงที่ชัดเจน เนื้อหาของเพลงนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของเด็ก โรงเรียน และผู้ปกครอง โดยเพลงจะสื่อไปในด้านการการชีวิตภายในโรงเรียนที่ต่างคนก็ต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน

เพื่อนๆ ในคลาสต่างพูดดีต่อกัน แต่ลับหลังกลับนินทาว่าร้าย โรงเรียนรับรู้ว่ามีเด็กบางคนโดนรังแกแต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผู้ปกครองไม่สนใจเด็กแม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และเพื่อนก็ต่างไม่สนใจเมื่อเพื่อนตัวเองโดนรังแก เพราะอิทธิพลที่แสนงี่เง่าในสังคมโรงเรียนมันยิ่งใหญ่เกินกว่าเด็กจะรับมือไหว และสุดท้ายกลไลแบบนี้ก็ไม่เคยห่างหายไปจากสังคมโรงเรียน เพราะทุกคนก็ต่างโตเป็นผู้ใหญ่จากจุดนั้นนั่นเอง

เนื้อเพลงบางส่วน :

‘ความซับซ้อนของเด็กดี’ นั่นคืออาการป่วยของผม

แต่ผมยังคงดีกับทุกคน นั่นเป็นอาการป่วยของผม

ลับหลังพูดแย่ๆ ต่อหน้าผมทำเป็นดี

….

‘ฉันไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์’ มันจะกลายเป็นข้อแก้ตัว

ใช่เลย สังคมนี้เต็มไปด้วยคนที่มองดู ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับคนทำผิดเลย

นักเรียนติดกับดักอยู่ภายในห้องเรียนและรับรู้ว่าตัวเองได้ตกเป็นเหยื่อแล้ว

Adult Child (2013) 

บางคนที่ได้ฟังเพลงนี้แบบไม่รู้ Meaning อาจจะงงได้ว่ามันแฝงเนื้อหาที่รุนแรงไว้ตรงไหน โดย Adult Child เวอร์ชั่น BTS นี้ ได้กล่าวถึง ความจริงของการเป็นผู้ใหญ่ ที่ความจริงแล้วการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้แตกต่างจากตอนก่อนหน้านั้นสักเท่าไหร่ ไม่ได้มีชีวิตที่ดีเหมือนเดิมหรือได้ใช้ชีวิตอย่างที่คิด มีแต่การทำงานหนักจนไม่มีเวลาพัก

ไม่มีเวลากลับไปกินข้าวกับคุณแม่เพราะต้องใช้ชีวิตเร่งรีบทำแต่งาน ต้องเข้ากรมต้องทำหน้าที่รับใช้ชาติ และประโยคของเพลงที่เราแอบรู้สึกมันว่าแฝงอะไรหลายๆ อย่าง คือประโยคที่ ‘ผมเคยบอกแม่ว่าเมื่อผมโตขึ้นประเทศเราจะรวมกันเป็นเหมือนเดิม ผมเชื่ออย่างนั้น’ เราไม่รู้นะคะ ว่าความคิดคนเกาหลีจริงๆ ส่วนใหญ่เขาคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ประโยคนั้นค่อนข้างเป็น Positive สำหรับเราเพราะอย่างน้อยเขาก็กล้าแสดงความคิดของเขาในเรื่องที่พูดได้ยากออกมาค่ะ

เนื้อเพลงบางส่วน :

บางคนก็ไปวิทยาลัย บางคนก็ไม่เข้ากรม
บางคนไม่จบก็เรียนใหม่ บางคนก็หางานทำ
อ้อมกอดจากครอบครัว โรแมนซ์เมื่อวันวานมันหายไปแล้ว
สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงความงุ่มง่ายและรีบเร่ง
ผมคิดว่าภาระของคนอายุ 20 มันจะเบาเหมือนขนนกเสียอีก
แต่มันกลับเป็นก้อนหินที่กดทับผม อายุ 20 อันขมขื่น
เพิ่งจะพ้นจาก นิทานเด็ก พีเตอร์แพนเองนะ
ผมเพิ่งจะค้นพบว่ามันเป็นเพียง เนเวอร์แลนด์

N.O

เพลงไตเติ้ลของมินิอัลบัมแรกของ BTS ที่มีเนื้อหาที่จัดหนักและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับวัยรุ่นและสังคมโรงเรียนเหมือนเดิม (N.O เป็นเพลงภาคต่อที่ 2 จากซีรีส์ School Trilogy ที่มีภาคแรกคือ No More Dream และบทสุดท้ายคือ Boy In Luv)

ในเพลงนี้จะกล่าวถึงความกดดันที่อยู่ภายใต้กรอบสังคมที่มักจะตัดสินกันด้วยการศึกษา ผู้ปกครองที่มักอยากให้ลูกหลานของตัวเองเข้ามหาลัยดีๆ จะได้มีหน้ามีตา แต่ใช้ความคาดหวังนั้นไปสร้างความกดดันเด็ก เรียนเหมือนเครื่องจักร แข่งขันที่ 1 กันอย่างบ้าระห่ำ แบ่งชนชั้นกันโดยแค่คะแนนสอบ หรืออันดับมหาวิทยาลัย โดยในเพลงจะกล่าวถึง 3 สุดยอดของมหาวิทยาลัยในเกาหลีแฝงไว้อย่างชัดเจนด้วย คือ คำว่า ‘SKY’ ที่ประกอบไปด้วย Seoul National University (มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล), Korea University (มหาวิทยาลัยโคเรีย) และ Yonsei University (มหาวิทยาลัยยอนเซ)

เนื้อเพลงบางส่วน :

พวกเขาแบ่งชั้นเราให้ออกมาจากพวกที่หนึ่งทั้งหลาย
พวกเขากักขังเราไว้ภายในกรอบ เหมือนกับผู้ใหญ่
ถึงแม้มันจะไม่มีทางเลือก แต่ก็ไม่มีใครยอมหรอก
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา มันเป็นการอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรงที่สุด

มีบ้านดีๆ รถดีๆ สิ่งพวกนี้มันจะนำความสุขมางั้นเหรอ?
ถ้าสอบเข้า SKY ได้พ่อแม่จะปลื้มงั้นเหรอ?

ใครกันที่ทำให้เราต้องมาเป็นนักเรียนที่เหมือนเครื่องจักร?
อย่ามากักขังผมให้อยู่ในความคิดของคนอื่นสักทีเถอะ

Spine Breaker

หลายๆ คนคงคุ้นๆ กับเพลงนี้กันเป็นอย่างดี แม้จะเป็นเพียง Side Track ของมินิอัลบัมที่มีเพลงอย่าง Boy In Luv, Just One Day หรือ Tomorrow ก็ตาม Spine Breaker เป็นเพลงที่ถ้าใครถามถึงเพลงที่มีเนื้อหาแรงๆ เนื้อเพลงที่เจ็บๆ พอๆ กับ Cypher แล้วล่ะก็ เพลงนี้จะเป็นอีก 1 เพลงที่มีคนตอบเยอะแน่นอน

เนื้อหาของ Spine Breaker จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่เรียกร้องให้พ่อแม่ซื้อของแพงๆ ให้ แล้วเอาไปโอ้อวดกับเพื่อนฝูงกับสังคมเพื่อเพิ่มอิทธิพลทางด้านฐานะกับบุคคลอื่น โดยไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อแม่นั้นหาเงินมาให้ใช้จ่ายลำบากแค่ไหน

เนื้อเพลงบางส่วน :

ว้าว คงรู้สึกดีกับมากตอนได้ใส่เสื้อสกปรกๆ นั่นน่าดู

ช่างมีสไตล์ทั้ง rockin, rollin, swaggin, ดูกร่าง, แถมยังผิดด้วย!

ทำไมคุณถึงมีนิสัยแบบนี้ล่ะเนี่ย? บ้าไปแล้วรึไง

มันจะทำให้คุณหายใจไม่ออก ไอ้เสื้อสกปรกนั่นน่ะ

Baepsae (Crow Tit/Try-Hard)

뱁새(Baepsae) หมายถึง นกเล็กๆ นกกระจิก นกกระจอก ในเพลงนี้จะเป็นการกล่าวถึงอิทธิพลทางด้านฐานะที่ชัดเจนมาก และความคิดเห็นส่วนตัวของเรา เนื่องด้วยเพลงนี้เป็นเพลงในมินิอัลบัม HYYH Pt.2 เราจะเห็นความแตกต่างทางด้านทัศนคติที่เปลี่ยนของ BTS อย่างสิ้นเชิง

จากเด็กที่เอาแต่คิดและพูดออกไปตามสิ่งที่เห็นเพียงอย่างเดียวตอนนี้กลายเป็นพูดและพยายามอย่างหนัก(กว่าเดิม)ที่จะลบอิทธิพลฐานะที่ถูกแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ในเพลงจะมีการเปรียบเทียบกับสำนวนเกาหลีที่ว่า ‘นกกระจอกที่เดินเหมือนนกกระสา ขาจะหักเอาได้ ‘

ซึ่งถ้าเราตีความหมายจริงๆ ก็คือการที่คนธรรมดาที่เป็นเหมือนนกกระจอกไปทำตัวเลียนแบบคนที่มีอิทธิพล มีอำนาจ หรือคนที่เก่งมากๆ ที่เปรียบเหมือนนกกระสา มักจะซวยเอาได้ เพราะทำเรื่องที่เกินฐานะ เกินบรรทัดฐาน หรือทำเกินตัวไปนั่นเอง

แต่เพลงไม่ได้เปรียบสำนวนในแง่นำมาให้เราตีความเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแทนตัวตนที่ว่าแม้ใครจะเป็นนกกระจอก สักวันถ้าพยายามก็จะเดินอย่างนกกระสาได้ ส่วนพวกนกกระสามีทุกอย่างแล้ว(คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด) เอาแต่มองว่านกกระจอกเป็นพวกวัลนาบี ก็อย่าทะนงตัวเองจนเกินไป เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้นี่คือความหมายรวมๆ ค่ะ

เนื้อเพลงบางส่วน :

พวกเขาเรียกผมว่านกกระจอก
สมัยนี้เขาด่ากันแบบนี้สินะ
รีบๆ ตามเขาให้ทันสิ
แหม ต้องขอบใจนกกระสาพวกนั้นนะ ขาผมแทบขวิดเลย

นี่แหละนกกระสา พวกนั้นไม่เคยต้องผิดหวังเลย
นี่แหละนกกระสา พวกเขามีชื่อเสียงกันอยู่แล้ว
นี่แหละนกกระสา พวกเขาถึงได้ทุกอย่างเลย

นี่แหละนกกระสาล่ะ
บอกว่านั่นคือความผิดผม นี่ล้อกันเล่นหรือไง
บอกว่ามันก็แฟร์อยู่แล้วนี่ โอ้ เป็นบ้าป่ะเนี่ย
บอกว่านี่คือความยุติธรรม
คุณต้องล้อผมเล่นแน่เลย
คุณแค่ล้อผมเล่นแน่ๆอ่ะ
คุณ พวกคุณ ต้องล้อผมเล่นแน่ๆ เลยว่ะ

INTRO : Boy Meets Evil

Boy Meets Evil เป็น Intro ของอัลบัม WINGS ที่มีเพียงเจโฮปเป็นคนร้อง ความหมายของเพลงนี้อาจไม่ได้รุนแรงในแง่ของสังคม แต่เป็นในแง่ความรัก ถ้าเราวิเคราะห์จากรูปแบบของอัลบัม WINGS แล้ว จะมีการโยงถึงวรรณกรรมคลาสสิคชื่อว่า ‘เดเมียน’ ซึ่งในเรื่องเดเมียน ซินแคลร์ ที่เป็นตัวเอกในวรรณกรรม

เรื่องนี้ได้ตกหลุมรักและมีความรักเช่นกันกับในเนื้อเพลง เป็นความรักที่ค่อนข้างประหลาด เพราะความรักนั้นมันเกิดกับแม่ของเพื่อนสนิทของเขาเอง แม้จะรู้ว่าผิด แม้จะรู้ว่าบาปหนา แต่จิตใจแต่ยังต้องการ ความหวานละมุนที่ได้รับ ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน มันทำให้เขาเหมือนปีศาจนัั่นเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดคือในเชิงเดเมียน แต่ความหมายแฝงของเพลงมันไม่ได้มีแค่นั้น เพลงนี้กล่าวถึงความรักที่ต้องการครอบครองทั้งหมดของอีกฝ่าย แม้จะอยากผลักออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ แม้อีกฝ่ายจะเย็นชาแค่ไหน ก็จะวิ่งเข้ามา ต่อให้น้ำตาไหลออกเป็นสายเลือดก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบแบบนี้แล้ว ก็จัดว่าเป็นเพลงที่แสดงถึงความดิบของจิตใจมนุษย์ที่เราต้องยอมรับว่าในสังคมปัจจุบันความรักรุนแรงแบบนี้มีอยู่และเห็นได้ทั่วไปค่ะ

เนื้อเพลงบางส่วน :

อนาคตที่ส่องสว่างกำลังมืดลง
เพราะความรักที่แสนไร้เรียงสา ทำให้ผมหลงอยู่บนทางแห่งฝัน
พิษร้ายของความทะเยอทะยาน ผมลับมีดของผมอยู่ทุกๆ วัน
แต่เพราะความโลภที่เกินควบคุมของผม มันถึงได้แบบนี้
ผมรู้ทั้งหมดนั่นแหละ
ความรักคืออีกชื่อหนึ่งของปีศาจ
ปัดมือเธอออกซะ
จิตใต้สำนึกของผมตะโกนออกไป
ผมรู้สึกแล้วมีดที่ลับไว้มันคมขึ้นทุกวัน
เลือดสีแดงฉานที่เกิดจากการฉีกขาดออกจากกันของความจริง
ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย
ความโลภจะกลายเป็นเสียงแตรที่ประกาศการมาถึงของนรก

Too bad but it’s too sweet
It’s too sweet it’s too sweet
Too bad but it’s too sweet
It’s too sweet it’s too sweet

It’s too evil

21st Century Girl

ผู้หญิงศตวรรษที่ 21 หลายคนพอได้ฟังเพลงนี้อาจตั้งคำถามว่าทำไมวงบอยแบนด์ถึงมีชื่อเพลงเป็นผู้หญิงในยุคนี้แทนที่จะกล่าวถึงยุคของตัวเองแทน เพลง 21st Century Girl เป็นเพลงที่มีเนื้อหาค่อนข้างลึกซึ้ง

แต่ด้วยดนตรี ทำนอง และท่าเต้นที่ดูสนุกสนานเลยดูจะเป็นเพียงเพลงที่ทำขึ้นมาสนุกร่าเริงธรรมดาไม่มีอะไร แต่พอเรามองถึงเนื้อเพลงที่ BTS ต้องการจะสื่อจริงๆ แล้ว ลึกๆ มันคือการพูดถึงการเหยียดเพศ หน้าตา รูปร่างของผู้หญิง สังคมที่มองผู้หญิงจากหน้าตา รูปร่าง หรืออื่นๆ และจัดอันดับแบบนั้น แบ่งชนชั้นทางด้านความงามต่างๆ ในสังคมปัจจุบัน เพลงนี้เลยเป็นเหมือนเพลงที่เล่าเรื่องพวกนั้นและเป็นเหมือนเพลงที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้วัยรุ่นสาวๆ ยุคนี้นั่นเองค่ะ

เนื้อเพลงบางส่วน :

หากมีใครสักคนมารังแกคุณ
คุณก็ตอกหน้ามันกลับไปเลย ว่าคุณน่ะคือผู้หญิงของผม
ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ไม่ว่าโลกใบนี้จะบอกอะไรกับคุณไปบ้าง
คุณก็แค่เป็นตัวของตัวเองไป เพราะคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผม

อย่ากลัวไปเลย
ถึงคนอื่นจะพูดจาแย่ๆ แค่ไหน คุณก็จะไม่เป็นไรใช่ไหม
ก็คุณน่ะ แข็งแกร่งอยู่แล้ว

ใช้ชีวิตของคุณต่อไป ใช้มันอย่างที่ต้องการเถอะ

AM I WRONG

เพลง AM I WRONG ส่วนตัวมองว่าเพลงนี้เป็นเหมือนเพลงภาคต่อของ Baepsae แต่ในทัศนคติที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมาก จากเด็กที่พูดถึงแค่สังคมในโรงเรียน เป็นสังคมวัยรุ่น จนเพลงนี้ก็เพิ่มเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้นอาจเหมือนสังคมผู้ใหญ่ในวัยทำงาน ที่มีทั้งคนที่เห็นแก่ตัวเต็มไปหมด คนที่เอาแต่โมโหคนอื่น คนที่ทำตัวหมูเหมือนเหมือนหมา คนที่ยังทำตัวแบบเป็นนกกระจอกกับนกกระสา

เรื่องราวในเพลงจะมีคำว่า ‘บ้าไปแล้ว’ กับคำว่า ‘ทำไมทำแบบนั้น’ เต็มไปหมด เป็นการย้ำว่านี้มันไม่โอเคแล้วในสังคม ในเพลงจะมีเนื้อหาแอบกัดตัวเองเบาๆ จากท่อนที่กล่าวว่า “คนต่างคอมเม้นต์ด่าในข่าวเต็มไปหมด แต่นี่กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรเลย นี่มันประหลาดแล้วล่ะ” ความหมายโดยนัยคือไม่ว่าใครจะด่าอะไร มีข่าวลืออะไร แต่พออ่านไปแล้ว กลับไม่รู้สึกอะไรกับมันจนแปลกใจตัวเองไปเลย

และอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่เป็น Topic ที่เคยฮือฮากันพอสมควรกับเพลงนี้ คือในท่อนของชูก้าที่มีเนื้อเพลงที่ร้องว่า “พวกเราก็เป็นแค่หมูหมา แต่พอโกรธขึ้นมาก็กลายเป็นแค่หมาเฉยเลย” ท่อนนี้มันถูกโยงไปในข่าวเมืองจากข่าวที่ว่า ‘มีกรรมกรวัยรุ่น (อายุ 19) ที่เสียชีวิตเนื่องจากสภาพการทำงานที่อันตราย (ถ้าอ่านไม่ผิดคือกำลังซ่อมรถไฟใต้ดิน) มีสมบัติทิ้งไว้แค่รามยอนที่กินเหลือ)’

โดยคุณเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่งกล่าวออกอากาศว่า “ผมคิดว่าชนชั้นทางสังคมควรถูกทำให้เป็นทางการซะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเท่าเทียมกันได้ ดังนั้นเราต้องยอมรับความจริง จะให้ผมเสียใจราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับครอบครัวของผมได้ยังไงกัน นั่นคงเป็นการเสแสร้ง ประชาชนสามารถถูกปฏิบัติได้อย่างหมูอย่างหมา ไม่ใช่ว่าสังคมจะสมเหตุสมผลมากกว่าหรือ เมื่อมันมีช่องว่างระหว่างชนชั้น” กล่าวโดย นาฮยองอุค

เนื้อเพลงบางส่วน :

พวกเราก็เป็นแค่หมูหมา
พอโกรธขึ้นมาก็กลายเป็นแค่หมาเฉยเลย
นกกระสาปะทะนกกระจอก
สู้รบปรบมือกันอยู่ทุกวัน

ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ

นี่ผมผิดเหรอ

ที่ผมพูดมันไม่จริงตรงไหน

NOT TODAY

พลง NOT TODAY แนวให้กำลังใจ เป็นการบอกให้สู้ไปด้วยกัน เราไม่ตายวันนี้ ถ้าเนื้อหารวมๆ ก็จะประมาณนี้ แต่ความหมายเชิงลึกของมัน BTS ก็ยังคงหยิบยกเรื่องราวของการดิ้นรน ฐานะ ชนชั้นมาพูดถึง นกกระจอกก็ยังต้องพยายามกันต่อไปแม้วันที่แพ้(ในอำนาจ)อาจมาถึงแต่มันจะไม่ใช่วันนี้ ขอให้สู้ต่อไป ในท่อนของเพลงที่ RM ร้องว่า “All the underdogs in the world” หมายถึงปลุกใจพวกขี้แพ้ที่สังคมมองข้าม คนที่เป็นเหมือนนกกระจอกในสังคมที่กำลังท้อแท้ให้ลุกขึ้นสู้นั่นเองค่ะ และส่วนท่อนที่เป็นประเด็นเรื่อง เพดานแก้ว/กำแพงกระจก ในเนื้อเพลง BTS ได้อธิบายไว้แล้ว เราขออนุญาตวางคำอธิบายนั้นเลยนะคะ

พวกเขายังได้ตอบถึงเรื่อง ‘เพดานแก้ว’ ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่เช่นกัน Rap Monster อธิบายเป็นครั้งแรกถึงความหมายที่บังทันพยายามจะสื่อออกไปด้วยคำว่า ‘เพดานแก้ว’ และเน้นย้ำว่าพวกเขานั้นไม่ได้ใช้คำว่า ‘เพดานแก้ว’ โดยปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ “ผมได้อ่านประเด็นเรื่อง <บังทันโซนยอนดันมีสิทธิ์พูดถึง ‘เพดานแก้ว’ ด้วยหรือ ในเมื่อพวกเขานั้นเป็นไอดอลกรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จ?> เราใช้คำนี้เพื่อที่จะบอกว่าเราจะไม่นิ่งเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม และเราจะร่วมกับทุกคนในการต่อสู้กับปัญหาที่เผชิญ”

“(สำหรับประเด็นทางสังคม) พวกเราอ่านหนังสือ, ถกเถียงกันเรื่องปัญหาสังคม รวมถึงเราได้แลกเปลี่ยนกับผู้รู้ในแต่ละประเด็น ตอนนี้เราอาจจะยังมีบางเรื่องที่เราไม่รู้หรือไม่เข้าใจมากพอ แต่ก็เชื่อว่าพวกเราจะสามารถเติบโต (ทางความคิด)ได้จากการเรียนรู้จากบรรดานักวิจารณ์และจากการขบคิด (เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกวิจารณ์) พวกเราน้อมรับคำวิจารณ์ที่มีเพื่อที่จะนำมันมาใช้สำหรับการพัฒนาต่อไป” เขาเสริม

เนื้อเพลงบางส่วน :

All the underdogs in the world
ถึงพวกหมาขี้แพ้ทั้งหลายในโลกนี้

A day may come when we lose
วันที่เราแพ้อาจจะมาถึงแน่

But it is not today
แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้

Today we fight!
วันนี้พวกเราต้องสู้!

ถ้าบินไม่ได้ ก็วิ่งไปสิ
วันนี้เราจะต้องมีชีวิตรอด
ถ้าวิ่งไม่ได้ ก็เดินซะสิ
วันนี้เราจะต้องมีชีวิตรอด
ถ้ายังเดินไม่ได้อีก ก็คลานไปสิ
ถึงจะคลานแต่ก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ

เชื่อในพวกพ้อง เชื่อในบังทันสิ

GO GO

เพลงสุดท้าย คือเพลง GO GO ด้วยทำนองและท่าเต้นอันร่าเริงสดใสเหมือนกับเพลง 21st Century Girl ทำให้เพลงนี้ถูกโฟกัสในเรื่องของ Perf. มากกว่าเนื้อเพลง เพลงนี้เป็นเพลงที่อยู่ในมินิอัลบัม Love Yourself 承 ‘Her‘

โดยความหมายของเพลงไม่ได้น่ารักน่าชังสักเท่าไหร่ ในแง่ในความน่าชังคือเพลงนี้จะพูดถึงการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยใช้ไปอย่างไร้ค่าของเด็กวัยรุ่น กับปาร์ตี้เอย เหล้ายาเอย เที่ยวเอย แต่ถ้าตีความแบบน่ารักคือเปรียบเปรยกับการใช้ชีวิตค่ะ

เปรียบเหมือนกับการใช้เงินเป็นการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เติมเต็มทุกอย่างก่อนจะหมดวัยช่วงนี้ไปแล้ว มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของ RM จะมีเนื้อเพลงเปรียบเทียบกับอุจจาระที่อั้นไว้ ก็เหมือนปัญหาหรือความเครียดที่เก็บไว้มันไม่ดีหรอก ปล่อยมันออกไปดีกว่า ทำตัวให้สนุกเข้าไว้กันเถอะอะไรแบบนั้นแหละค่ะ

เนื้อเพลงบางส่วน :

ไม่มีวันพรุ่งนี้หรอก
ผมเอาอนาคคตไปจำนองแล้วล่ะ
ผมจะใช้เงินให้เยอะกว่าเดิมอีก
เพื่อน เป็นไงบ้าง
อยากใช้เงินสักหน่อยไหม

YOLO YOLO YOLO YO (คนเราเกิดมาหนเดียว)
YOLO YOLO YO (คนเราเกิดมาหนเดียว)
จะใช้ให้คุ้มไปเลย
Where my money yah (เงินผมอยู่ที่ไหน)
จะใช้ให้คุ้มไปเลย

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS Easter Eggs

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เกมออนไลน์