BTS Proof Jin

BTS Proof Jin แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Jin แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Jin แปลบทสัมภาษณ์ของจินในนิตยสาร Weverse magazine เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่จะมาเจาะลึกในการคัมแบคครบรอบ 9 ปีของวง BTS การทำเพลง / อัลบั้ม และเรื่องราวการเติบโตของเมมเบอร์ และบทบาทและมุมมองของวิชวลวง BTS อีกด้วย

BTS Proof Jin : “ผมใช้ชีวิตแบบนี้ได้ก็เพราะความสุขของอาร์มี่”

BTS Proof Jin

ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาถูกถามถึงความสําเร็จที่เกิดขึ้น “จิน” จะเริ่มต้นด้วยการขอบคุณคนอื่นเสมอ เมื่อถามถึงเรื่องราวที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เขากลับหัวเราะขําขันก่อนจะพูดถึงมัน เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาๆ สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ” จินเป็นคนที่ดีมากจริงๆ “

Q: นิ้วของคุณดีขึ้นหรือยังครับ? **จินได้ทําการผ่าตัดนิ้วชี้ซ้ายเนื่องจากอาการเส้นเอ็นขาดบางส่วน ในวันที่ 18/03/65**

Jin: ดีขึ้นมากแล้วครับ (หัวเราะ)

Q: คุณต้องระมัดระวังมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนขึ้นแสดงที่งานแกรมมี่ ผมแอบกังวลตอนดูคุณแสดงนะครับ

Jin: ผมผ่าตัดไปพักนึงแล้วล่ะครับตอนที่ไปแสดงงานแกรมมี่ มันก็เลยไม่เจ็บมากขนาดนั้นแล้ว แต่คุณหมอแนะนําว่าถ้าผมโดนกระแทกแรงๆ ก็อาจจะกลับมาเจ็บได้อีก ผมเลยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างน้อยก็ขอปลอดภัยไว้ก่อน จริงๆ มันไม่ได้ปวดอะไรแล้วล่ะ พวกเรา (BTS) ต่างก็โฟกัสกับการแสดงตรงหน้าจนบางทีก็ชนกันแรงๆ บ้างเวลาเต้นหรือหมุนตัว

ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้น ผมอาจจะต้องกลับไปผ่าตัดอีก ผมเลยแยกตัวออกมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนี้มากกว่า มันไม่ได้หมายความว่ามันจะมีปัญหาถ้ามือผมจะขยับไปโดนอะไรเบาๆ หรอกนะครับ ผมต้องระวังเพราะว่าถ้าบาดเจ็บขึ้นมาอีก ผมคงทํากิจกรรมหรือแสดงอะไรตามที่เราวางแผนไว้ไม่ได้อีก

Q: ในงานแกรมมี่ คุณออกมาอยู่ห่างจากเมมเบอร์คนอื่นๆ และเปลี่ยนตัวเองเป็นฝ่ายสนับสนุนแทนในช่วงแรก แต่แล้วกลับขึ้นไปแสดงพร้อมกับคนอื่นๆใ นตอนท้าย คุณรู้สึกยังไงบ้างที่ได้มองเมมเบอร์แสดงจากตรงนั้น

Jin: พวกเขาเท่มากครับ ศิลปินท่านอื่นๆ ก็เท่มากเช่นกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งมองเมมเบอร์แสดงด้วยตาของตัวเอง ซึ่งเท่มากกว่าใครเลยในสายตาของผม ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าทําไมหลายๆ คนถึงมาเป็นแฟนคลับของพวกเรา ผมได้แสดงหลายเพลงในคอนที่ลาสเวกัสเหมือนกันนะครับ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้รู้สึกถึงประสบการณ์การดูคอนเสิร์ตของ BTS เช่นกัน ได้ดูทั้ง BTS และทั้งอาร์มี่เลย

Jin : “ผมรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาต่างยอมเสียสละตัวตนในบางเรื่องเพื่อให้เข้ากับความต้องการของวงได้มากขึ้น”

BTS Proof Jin

Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างที่ได้เจออาร์มีในคอนเสิร์ตในรอบ 2 ปี 

Jin: ตอนที่พวกเรากําลังจะเล่นคอนเสิร์ตแรกที่ LA ผมพูดกับเมมเบอร์คนอื่นๆว่า “ถ้าผมร้องไห้บนเวทีล่ะ” ผมพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองเกิดอารมณ์อ่อนไหวมากขนาดนั้น แต่ก็มีเวลาในคอนเสิร์ตที่เมมเบอร์กําลังพูดหรือทําอะไรอยู่แล้วได้มองไปที่อาร์มี่ ผมชอบเวลาแบบนั้นนะครับ ผมคิดจริงจังเลยว่า ว้าว มันบ้ามาก อย่างกับในหนังเลยแหนะ นี่เป็นชีวิตที่ผมเคยมีล่ะครับ ผมพยายามที่จะเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถแสดงแบบมืออาชีพได้หรอกครับ 

Q: คุณจะบอกว่าการที่คุณทําผมหรือใส่พร้อพตลกๆ ในช่วงท้ายของคอนเสิร์ต เป็นการแสดงความรู้สึกต่ออาร์มี่หรือเปล่า 

Jin: ผมทําแบบนั้นเพราะอาร์มี่ชอบกันครับ ถึงแม้ว่ามันจะออกมานิดเดียวก็ตาม แต่พวกเขาก็สนุกกับมันนะ ถ้าพวกเราชอบ ผมก็แค่ทํามันออกมา สําหรับผมมันคงจะแปลกถ้าจะหัวเราะอยู่คนเดียว เราควรหัวเราะไปด้วยกันสิ ผมมองหาการแลกเปลี่ยนความสุขซึ่งกันและกันอะไรแบบนี้ล่ะครับ เสียดายที่ผมไม่ได้ทํามันเลยในคอนที่ลาสเวกัส เพราะว่าพวกเรายุ่งมากจนผมเตรียมของไม่ทัน (หัวเราะ) ในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของคนออกแบบคอนเสิร์ตชักทีที่คิดว่าแล้วต่อไปจะทําอะไรดีล่ะเนี่ย (หัวเราะ) ผมต้องคิดหาของใหม่ๆ ถ้าพวกเรามีทัวร์คอนเสิร์ตครั้งหน้าล่ะครับ 

Q: การที่คุณตัดสินใจเป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตในรูปแบบต่างๆ ทั้งๆ ที่ยังคงบาดเจ็บอยู่ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งเลยนะครับ เจโฮปนั้นแสดงให้เราเห็นว่าเขาเคารพในตัวคุณอย่างมากสําหรับอิทธิพลเชิงบวกที่คุณมอบให้กับวงในคอนเสิร์ตนั้น 

Jin: อย่างที่เจโฮปบอกล่ะครับ ถึงแม้จะบาดเจ็บ แต่ผมก็พยายามที่จะพลาดให้น้อยที่สุดในคอนเสิร์ต แต่ที่ผมขอบคุณโฮบมากจริงๆ และมันก็ทําให้ผมแอบรู้สึกแย่ด้วย ก็คือความจริงที่ว่าผมไม่ได้แสดงคอนเสิร์ต พร้อมกับเมมเบอร์ จริงๆ แล้วผมไม่คู่ควรกับความเคารพนั้นหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่เขาเอ่ยชมและพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวผมออกมา ผมรู้อยู่เสมอว่าเจโฮปเป็นคนน่ารักมาก แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ย้ําเตือนความ เป็นจริงนั้น ความจริงที่เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและชื่นชมในการทํางานหนักนี้ มันทําให้ผมรู้สึกทั้งอยากขอโทษและขอบคุณไปพร้อมๆกันเลยครับ 

Q: มันน่าประทับใจมากที่คุณเชื่อใจในตัวเมมเบอร์มาตลอด ซึ่งทําให้ผมนึกถึงเนื้อเพลง “YET TO COME” ในอัลบั้ม “PROOF” ที่ว่า “หลายอย่างนั้นเปลี่ยนไป แต่ผมก็ยังเป็นเช่นนี้เสมอมา” 

Jin: ผมประทับใจเหมือนกันครับ เมมเบอร์ต่างก็มีความมุ่งมั่นกันอย่างมาก แต่ผมคิดว่าคุณก็บอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ทะเยอทะยานมากขนาดนั้น พวกเขาจะมุ่งมั่นในเวลาที่รวมตัวกันเป็นวง และบางครั้งก็วางความทะเยอทะยานส่วนตัวไว้ข้างหลัง ภายใต้ความเชื่อที่ว่าวงมาก่อนเสมอ ผมประทับใจมากกว่าที่จะรู้สึกขอบคุณที่เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ หมายถึงเรื่องที่ทุกคนให้วงมาก่อนเป็นอย่างแรก ผมรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาต่างยอมเสียสละตัวตนในบางเรื่องเพื่อให้เข้ากับความต้องการของวงได้มากขึ้น และคิดว่านัมจุนนั้นเก่งมากในการทํางานยากๆอย่างเป็นคนประสานงานและเชื่อมทุกคนไว้ด้วยกัน

Q: อะไรทําให้คุณยังคงรักษาบรรยากาศแบบนี้ไว้ได้ 

Jin: เพราะคิดว่าเพราะพวกเรานึกถึงวงก่อนตัวเอง และการทํางานในฐานะวงที่มี 7 คนนั้นดีกว่าทั้งสําหรับความสุขของพวกเราและความสุขของอาร์มี่ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทําให้เราโฟกัสไปที่วงมากกว่า ผมคิดว่าที่เราสามารถจัดคอนเสิร์ตขนาดใหญ่และได้แสดงบนเวทีแกรมมี่ เพราะการทํางานกันป็นวงของทั้ง 7 คนครับ มีบางเรื่องเท่านั้นที่คุณทําได้หรือความสุขที่คุณจะได้รับจากประสบการณ์การทํางานในฐานะวงเท่านั้น 

Q: ผมมั่นใจว่าอีเวนต์วันเกิดของคุณที่คอนเสิร์ตรอบ LA นั่นเป็นหนึ่งในความประทับใจเช่นกัน 

จิน: แน่นอนครับ อีเวนต์นั้นเป็นสิ่งที่ผมจะได้รับจากการทํางานเป็นกันเป็นทีม ที่ทําให้เรามายืนในจุดนี้ได้ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับมาก่อน พูดจริงๆ นะครับ คุณจะไปหาประสบการณ์ประทับใจแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก แฟนทั้ง 50,000 คนที่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้กับผมที่เป็นคนที่สําคัญที่สุดในงาน อย่างกับเป็นพระเอกในนิยายเลยล่ะครับ ในตอนที่เราเดบิวต์ ผมคิดแค่ว่ามันก็คงจะดีนะถ้าได้เล่นคอนเสิร์ตต่อหน้าผู้ชมชัก 3,000 คน 

Q: ในทํานองเดียวกัน คงอาจจะเป็นไปไม่ได้สําหรับคุณที่จะทําอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนมากหมาย ถ้าเกิดชีวิตของคุณนั้นเดินไปทางอื่น ผมประทับใจที่คุณสร้างอีเวนต์ให้แฟนๆมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งที่คุณอยากเล่าผ่าน “SUPER TUNA” ที่คุณเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อน VLIVE ในวันเกิดของคุณเอง 

จิน: ผมเป็นคนประเภทที่รู้สึกสบายใจเมื่อได้คุยกับใครซักคน แบบได้คุยตอบโต้กันแบบนี้นะครับ แต่ถ้าให้ผมไปยืนหน้ากล้องคนเดียว ผมคงพูดอะไรนานๆไม่ได้เหมือนกัน ผมประหลาดใจเหมือนกันที่หลายคนสามารถสตรีมได้ด้วยตัวเองคนเดียว โดยปกติแล้วผมก็จะวางแผนไว้ก่อนทุกครั้ง บางครั้งผมก็คิดว่าผมคงทํางานด้านการวางแผนได้ดีถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศแทนน่ะนะ (หัวเราะ) แต่ที่จะบอกคือ ผมชอบที่จะได้สนุกกับอาร์มี่ ผมคงไม่มีเหตุผลให้ทํางานอะไรถ้านั่นไม่ได้ หมายความว่าทําไปเพื่ออาร์มี่ ผมอาจจะปล่อยเพลง SUPER TUNA ในวันที่ 4 ธันวาของปีนี้แทนก็ได้ แต่ผมก็ดีใจที่ทําเสร็จได้เร็วขนาดนี้นะครับ ผมไม่คิดว่าแฟนๆจะชอบ SUPER TUNA กันขนาดนั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนผมทํางานออฟฟิศและเขียนแผนงานขึ้นมา แล้วแผนนั้นก็ถูกเสนอขึ้นไปถึงประธานบริษัทที่พูดว่า เอาสิ ทํามันเลย” (หัวเราะ) มันดีมากเลยล่ะครับ 

Q: เหมือนกับว่า คุณพยายามทําทุกอย่างเพื่ออาร์มี่เลยนะครับ ทั้ง VLIVE และ SUPER TUNA 

Jin: อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ ผมชอบเล่นเกมส์ครับ เกมส์พวกนั้นเองก็มีการอัพเดตเพื่อให้มันสนุกมากขึ้น ถึงแม้ว่าคนเล่นจะไม่ได้ร้องขอกันเลยก็ตาม ผมคิดว่าพวกเราก็เป็นเหมือนกัน ก็เหมือนที่ผมมีความสุขเวลาเล่นเกมส์ อาร์มี่ก็มีความสุขที่ได้เป็นแฟนคลับพวกเราเหมือนกัน พวกเขามีความสุขเวลาที่ได้ฟังเพลงหรือได้สนุกกับงานใหม่ๆ ของพวกเรา ผมพยายามคิดว่าอาร์มีก็เหมือนคนเล่น ซึ่งนั่นเป็นเหตุที่ทําให้ผมอยากให้พวกเขามีความสุขกันอยู่ตลอดครับ

JIN : “แต่ถ้าอาร์มี่ตอบสนองกลับมา มันก็จะไม่ใช่ของฆ่าเวลาอีกต่อไปล่ะครับ”

Q: นั่นเป็นความตั้งใจเบื้องหลังของ YOURS เพลงที่คุณร้องประกอบซีรีย์เรื่อง JIRISAN เหมือนกันหรือเปล่าครับ 

Jin: ในช่วงนั้นเราขึ้นแสดงน้อยลงและผมคิดว่าอาร์มี่คงอยากจะมีเพลงใหม่ๆ ให้ฟังด้วยเหมือนกัน แล้วมันก็คงจะแปลกหน่อยๆ ที่อยู่ดีๆ ก็มีเพลงใหม่ปล่อยออกมา พอผมได้รับคําแนะนํากับโปรเจคนี้ ผมเลยคว้ามันไว้เลย 

ถ้าใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับเกมส์อีกครั้ง ส่วนมากแล้วคาแร็กเตอร์ในเกมส์ก็จะมีอาชีพและสถิติของตัวเองใช่มั้ยล่ะครับ ถึงจะได้ลงแพทช์ใหม่ให้กับทั้งเกมส์ที่เล่น แต่ผมก็คงไม่ชอบใจนักถ้าคาแร็กเตอร์ที่เล่นนั้นเป็นตัวเดียวที่ไม่มีสถิติที่ดีขึ้นเลย หรืออยู่ในตําแหน่งเดิมในตอนที่ตัวอื่นๆ ได้อัพเกรดกันไปแล้ว (หัวเราะ) นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าจะต้องทําและก็ทํามันออกมาล่ะครับ 

Q: แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่ามันถูกที่ถูกเวลา 

Jin: ผมไม่ได้วางแผน “SUPER TUNA” มาก่อนล่ะครับ ผมแค่อยากลองไปตกปลากับคุณ BUMZU เท่านั้นเอง และพวกเราก็คิดทําเพลงตอนที่ออกไปตกปลากันจริงๆ แล้วมันควรจะเป็นเพลงที่แต่งปุ๊ปปั๊ปเท่านั้น 

มันเป็นเรื่องที่เราทําฆ่าเวลากันเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าผมจะทําอะไรซักอย่างขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาในตอนแรก แต่ถ้าอาร์มี่ตอบสนองกลับมา มันก็จะไม่ใช่ของฆ่าเวลาอีกต่อไปล่ะครับ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ผมทําเพื่อความสนุก ผมคิดว่าการได้เห็นผลตอบรับของอาร์มี่นั้นช่วยให้ผมสื่อสารกับพวกเขาได้มากขึ้นล่ะครับ 

Q: บางครั้งคุณก็สร้างอีเวนต์ใหญ่ๆ ที่คุณและอาร์มี่ทําร่วมกันได้อย่างชาเลนจ์ SUPER TUNA ขึ้นมา เป็นผลจากการที่คุณได้สื่อสารกับพวกเขา อะไรที่ทําให้คุณรู้สึกว่าคุณจะสามารถทําอีเวนต์แบบนี้ได้โดยการสื่อสารกับอาร์มเหล่านั้น 

Jin: ผมคิดว่าเมื่อพวกเราเริ่มสื่อสารกับพวกเขาได้โดยตรงครับ ซึ่งก็คือเมื่อมีช่อง WEVERSE เกิดขึ้นมา ก่อนหน้านั้นมันเป็นเรื่องยากมาโดยตลอดที่จะคุยกันแบบตัวต่อตัว ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความสนุกตอนที่เรามีช่อง WEVERSE ออกมา เพราะว่าเราจะได้ฟีดแบคตรงๆ กลับมาจากแฟนคลับ จริงๆ แล้ว WEVERSE เองก็เป็นช่องทางที่มีแค่อาร์มี่เท่านั้นที่ใช้ ผมรู้ว่าพวกเขาพยายามที่จะแชร์แต่สิ่งดีๆ ให้กับพวกเรา ทําให้ผมรู้สึกขอบคุณและสนุกมากขึ้นเลยล่ะครับ 

Q: คุณจะบอกว่าการสื่อสารแบบนี้ทําให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อคุณได้นําเสนอหรือแสดงอะไรที่เป็น ตัวตนของคุณเองออกมาใช่ไหมครับ 

Jin: ผมเคยคิดว่า ถ้าจะต้องทําอะไรซักอย่าง มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อยู่ตลอดเลยล่ะครับ เช่นผมจะจัดการงานยักษ์แบบนี้ยังไงดี ผมมักจะรู้สึกท้อแท้อยู่เสมอ แต่ตอนนี้นิสัยของผมมันเปลี่ยนไปเยอะแล้วล่ะครับ คิดว่าความคิดที่เปลี่ยนไปจริงๆ ของผมนั้นคือ การที่คิดว่าผมทํามันได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นโปรเจคใหญ่ๆ ก็ตาม แทนที่จะคิดว่าผมจะจัดการมันยังไงดี ได้เปลี่ยนเป็น ผมทํามันได้! อย่างเช่นตอนที่ทําเพลงให้คนอื่นๆ ฟังนั่นล่ะครับ 

Q: มีเหตุผลที่ทําให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไปในทางนั้นไหมครับ 

Jin: ถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว ตอนนี้ผมทํามันเมื่อผมรู้สึกอยากทําครับ ผมแต่งเพลง ABYSS ออกมา ตอนที่อยากจะบอกอ้อมๆ ว่าผมกําลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลําบาก ผมแต่ง SUPER TUNA ออกมาก็เมื่อตอนที่รู้สึกอยากทําอะไรซักอย่างตอนตกปลากับคุณ BUMZU ผมไม่ค่อยทําตามแผนเท่าไหร่หรอกครับ ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่จะทําก็ต่อเมื่อรู้สึกอยากทํานั่นก็นับรวมถึงเรื่องทํางาน เพลงหรือทําอย่างอื่นด้วยเหมือนกันครับ

Q: คุณแต่งเพลง EPIPHANY (JIN DEMO VERSION) ที่อยู่ในอัลบั้ม PROOF ตอนที่คุณ รู้สึกอยากแต่งด้วยเหมือนกันหรือเปล่าครับ ผมรู้สึกกว่าคุณร้องเพลงออกมาด้วยเรนจ์เสียงที่เข้า กับตัวเองมากกว่าเวอร์ชั่นที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้

Jin: ใช่ครับ ในตอนนั้นผมมีความคิดว่าจะทําเมื่ออยากทําไปแล้วล่ะ ผมใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ตอนเขียนเพลงนั้นขึ้นมา แต่มันยากกว่าที่คิดนะครับ มันแอบยากนิดหน่อยที่จะหาเนื้อเพลงมาใส่ในทํานองแบบนั้น ท่อนคอรัสเป็นท่อนที่ผมเขียนขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรกในตอนแต่งเพลงนี้ แต่พอกลับมาฟังเวอร์ชันเดโม่ที่อยู่ในอัลบั้ม PROOF ผมว่ามันก็ไม่แย่นะครับ (หัวเราะ) ผมพยายามที่จะฟังสลับกันทั้งสองเวอร์ชั่นแบบเว้นๆกันอย่างละ 5 รอบ ผมคิดว่าแต่ละเวอร์ชั่นนั้นมีคุณค่าในตัวเองมันเอง แต่สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าเวอร์ชั่นสุดท้าย (เวอร์ชั่นปัจจุบัน) ของ EPIPHANY นั้นมันสวยกว่านิดนึงครับ 

Q: ถ้า EPIPHANY ที่เป็นออฟฟิเชี่ยลนั้นมีทั้งลําดับเรื่องราวที่เข้ากับอัลบั้มและมีเนื้อเพลงที่เข้ากับ MV แล้วล่ะก็ EPIPHANY (JIN DEMO VERSION) ในอัลบั้ม PROOF นั้นจะเป็นเพลงดีที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติและความเป็นเพลงป๊อป การทําเพลงในตอนที่มีความตั้งใจ อยากจะทํานั่นคงสําคัญมากเลยนะครับ 

Jin: ใช่เลยล่ะครับ มันอาจจะไม่มีเหตุผลในสายตาคนอื่น แต่สําหรับผมมันสําคัญมากที่จะทําอะไรซักอย่างในตอนที่คุณมีความตั้งใจกับมัน ถ้าเป็นเรื่องงานคุณต้องทํามันอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้จําเป็นอะไรสําหรับคุณ คุณควรทําในตอนที่คุณอยากทํานะครับ เวลาที่อยู่บ้าน ถ้าผมอยากกิน ผมก็กิน ถ้าผมอยากอยู่บนเตียง ผมก็จะนอนอยู่แบบนั้นทั้งวัน ผมใช้ชีวิตแบบนี้นอกเวลางานล่ะ อย่างที่บอก ผมจะทํามันต่อเมื่อผมรู้สึกอยากทํา มันไม่ได้หมายความว่าผมเจอความสุขสงบในใจอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ ผมแค่คิดว่า ผมจะแสดงความรู้สึกออกมาได้ ก็ต่อเมื่อผมรู้สึกถึงมันได้ เช่นเวลาที่ผมเศร้าหรือมีความสุข ผมก็จะพูดกับคนอื่นๆได้ว่าผมเศร้านะ หรือจะพูดได้ว่าผมมีความสุขเพราะผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์นั้นจริงๆ

Q: ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ที่จะแสดงอารมณ์ออกมาเมื่อคุณรู้สึกถึงมันได้ 

จิน: ผมคิดว่าหลายคนไม่เข้าในคอนเซ็ปของการทําอะไรเมื่อคุณอยากทําหรือในตอนที่คุณอยากทํา เพราะว่าพวกเขาถูกทําให้เข้าใจว่าต้องวางแผนก่อนเสมอ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเป็นแบบนี้ใน ตอนที่เดบิวต์แรกๆหรอกนะครับ ผมเป็นพวกที่ชอบวางแผนก่อน แต่คิดว่านิสัยของผมคงค่อยๆ เปลี่ยนไป เพราะถึงแม้ว่าผมจะวางแผนไว้ก่อน แต่ตารางงานก็มักจะเปลี่ยนโดยไม่รู้ล่วงหน้าหรือ มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาเสมอ 

Q: นี่เป็นการบาลานซ์กันระหว่าง BTS กับชีวิตส่วนตัวของคุณหรือเปล่าครับ 

Jin: ผมไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อนเลยครับ แต่ผมพูดได้ว่า ผมอยากสนุกในรูปแบบของผมเอง โดยที่ไม่ไปรบกวนคนอื่น ประมาณนั้นล่ะครับ

Jin : “ผมคิดว่าเหตุผลที่ทําให้ผมสามารถแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ที่ลาสเวกัส และแสดงที่งานแกรมมี่ได้ ก็เพราะพวกเราทั้ง 7 คนทํามันด้วยกันครับ”

Q: มีอะไรที่คุณตั้งใจอยากจะทําที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นและสนุกไปพร้อมๆกันไหมครับ 

Jin: ผมคิดอยากจะทํารายการวาไรตี้ที่ผมรู้สึกมีความสุขนะครับ ไม่ใช่สําหรับวงหรือเพราะความ โด่งดังหรือสําหรับงาน แต่เป็นเพราะการถ่ายทํารายการพวกนั้นมันทําให้ผมอยู่ในโหมดสนุกต่าง หาก มันก็มีเรื่องยากในการถ่ายทํารายการวาไรตี้ แต่แน่นอนว่าก็เป็นโอกาสที่คุณจะหัวเราะได้อย่าง สุดเสียงทั้งวันเช่นเดียวกัน ผมพูดถึงความรู้สึกที่ได้ดูเมมเบอร์คนอื่นๆไปพร้อมกับดูอาร์มี่ใน คอนเสิร์ตล่าสุดใช่ไหมครับ ผมก็แค่อยากทําอะไรที่สนุกๆสําหรับตัวเอง เช่นการได้แสดงคอนเสิร์ต บนเวที แล้วก็ได้ดูคอนเสิร์ตของ BTS ในระยะประชิดไปพร้อมๆกัน มันก็เหมือนผมอยู่ในรายการวาไรตี้ แต่ก็ได้ดูการถ่ายทําไปพร้อมๆกัน แบบนี้นะครับ 

Q: แต่คุณก็พยายามที่จะทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้ทั้งๆที่ยังบาดเจ็บอยู่ อย่างการแสดงคอนเสิร์ตด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกได้ว่าคุณค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเองในงานที่เกี่ยวข้องกับวงเหมือนกันนะครับ 

จิน: คุณต้องเข้มงวดครับ มันจะมีปัญหาถ้าเกิดคุณผ่อนผันให้กับตัวเอง ในตอนที่ต้องทํางานในส่วนของ BTS ผมจะเข้มงวดกับตัวเองเสมอครับ 

Q: คุณเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เดบิวต์จนถึงทุกวันนี้ คุณรักษาตัวตนแบบนี้ได้อย่างไรครับ 

Jin: เพราะว่านี่เป็นความสุขของผมครับ ผู้คนต่างพูดกันว่า คุณจะไม่ค่อยเจอช่วงเวลาที่สามารถ หาความสุขได้จากงานที่ทําในออฟฟิศ แต่ผมค้นพบความสุขในงานของผมเอง ผมคิดว่าเหตุผลที่ทําให้ผมสามารถแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ที่ลาสเวกัส และแสดงที่งานแกรมมี่ได้ ก็เพราะพวกเราทั้ง 7 คนทํามันด้วยกันครับ ผมใช้ชีวิตแบบนี้ได้ก็เพราะความสุขของอาร์มี่ครับ และผมอยากทําอะไรก็ตามที่ทําให้อาร์มี่ความสุขเช่นกันครับ 

Q: อย่างนั้นคุณก็ใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ แต่ความสุขจริงๆนั้นมาจาก BTS และอาร์มี่ 

Jin: การได้รางวัลแกรมมี่นั้นมีความหมายมากนะครับ และผมก็คาดหวังว่าเราจะได้มันมา เพราะถ้า เราชนะรางวัลนั้นก็คงเป็นอาร์มี่ที่ทําให้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีครับ และผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีเลยที่เราไม่ชนะรางวัลนั้น มันไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของผม คงจะดีถ้าเราชนะซักครั้งและได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็น เพราะในตอนนี้ผมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากๆจริงๆครับ 

Q: เพลง YET TO COME ดูเหมือนจะเป็นเพลงที่บอกใบ้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดกําลังจะมาถึง แต่ได้คุยกับคุณวันนี้ ผมรู้สึกได้ว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ดีที่สุดสําหรับคุณแล้ว 

Jin: ผมคิดเสมอว่าทุกช่วงเวลาคือเวลาที่ดีที่สุดครับ มันจะมีอะไรที่ดีไปมากกว่านี้อีกหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ (หัวเราะ)

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS Proof SUGA

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> ดูบอล