Weverse Magazine Jimin Pt.2

Weverse Magazine Jimin Pt.2 BTS BE comeback interview “Jimin”

Weverse Magazine Jimin Pt.2 BTS BE comeback interview “Jimin” 2020.11.23

Weverse Magazine Jimin Pt.2 แปลบทสัมภาษณ์ของ Jimin ใน Weverse Magazine ฉบับแรกของบังทัน โดยเป็นการพูดถึงการคัมแบคอัลบั้มอย่าง BE ว่าพวกเขามีการทำงานกันอย่างไร และในฐานะที่เขาเป็นเมนแดนซ์ของวงอีกหนึ่งคน และการมีส่วนร่วมของเขาในอัลบั้มครั้งนี้ในฐานะผู้ดูแลโปรเจ็ค จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้

Weverse Magazine Jimin Pt.2 บทสัมภาษณ์ Pt.1 : เราเปิดใจคุยกันว่าเราเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากมายังไง

Weverse Magazine Jimin Pt.2

  • Q: ในวีไลฟ์เมื่อตอนเดือนตุลาคม คุณใส่เสื้อที่จริงๆ แล้วคุณตั้งใจจะใส่ไปสนามบินตอนทัวร์คอนเสิร์ตใช่มั๊ย

JM: ผมไม่ได้สังเกตน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมยอมรับและเข้าใจได้ว่าเราเผชิญหน้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่

  • Q: “สถานการณ์” คุณหมายถึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอกับแฟนๆรึเปล่า?

JM: ใช่แล้วครับ ถ้าเกิดเรายังต้องทัวร์ในสถานการณ์แบบนี้ หรือแสดงเพลงของพวกเราในตอนนี้ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราจะทำมันได้ยังไง ในขณะเดียวกันผมก็คิดว่า บางอย่างที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ได้เปิดออกมา มันไม่ใช่ความรู้สึกตื่นเต้นแบบเวลาที่ไปทัวร์คอนเสิร์ตนะครับ มันเลยง่ายที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่มันเหมือนกับพวกเราพยายามทำเพลงใหม่ พยายามทำอะไรก็ตามที่ผมพอจะทำได้

  • Q: เพลงในอัลบั้ม BE พูดถึงการดูแลความรู้สึกและวิธีการก้าวข้ามไปข้างหน้า

JM: ผมทำหน้าที่ในการรับฟังว่าเมมเบอร์แต่ละคนต้องการอะไรในอัลบั้มนี้ครับ แต่ว่าอัลบั้มนี้พูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันมากกว่าสิ่งที่พวกเราแต่ละคนรู้สึก เราเปิดใจคุยกันว่าเราเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากมายังไง แล้วเราพยายามยังไงเพื่อที่จะหลุดพ้นจากสิ่งนั้น ก็เลยกลายมาเป็นอัลบั้มนี้ครับ

Q: ในฐานะผู้ดูแลโปรเจ็ค คุณรวบรวมและจัดการกับไอเดียต่างๆของเมมเบอร์อย่างไร?

JM: ผมได้มาเป็นคนดูแลโปรเจ็คเพราะ พี่ยุนกิแนะนำให้ผมทำครับ แต่ผมว่าผมไม่ได้นำทีมอะไรมากมายนะครับ หนักไปทางทำยังไงก็ได้ให้เมมเบอร์ทำงานได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ก็หมายถึงการถามความเห็นจากพวกเขา หรือว่า เอาความเห็นของพวกเขาไปเสนอกับทางค่ายโดยผมจะเป็นคนรวบรวม จัดการแล้วเอามาบอกเมมเบอร์ว่า “อ่ะ ตอนนี้พวกเราได้ไอเดียนี้มานะ คิดว่าเป็นไงบ้าง?” แล้วก็ถามคอยถามเมมเบอร์ครับ ถ้าพวกเขาโอเคผมก็จะเอาทั้งหมดเนี่ยไปเสนอกับทางค่าย ถ้าเมมเบอร์ทำเพลงผมก็จะส่งไปให้ค่ายด้วยครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : ถ้าตอนนี้รู้สึกแย่ ก็เขียนเพลงเศร้าไปเลย ถ้ารู้สึกอยากมอบความหวังให้กับผู้คน ก็เขียนเพลงแบบนั้น

Weverse Magazine Jimin Pt.2

  • Q: คุณตามงานเมมเบอร์ยังไง ในเวลาที่พวกเขาใช้เวลามากเกินไปในการคิดงานของพวกเขา ? (หัวเราะ)

JM: ผมก็จะเมนชั่นชื่อพวกเขาในแชทกลุ่มครับ (หัวเราะ) นั่นทำให้พวกเขาตอบผมนะ (หัวเราะ) เวลาที่ผมบอกว่ามีใครยังไม่ส่งงานมาให้ เมมเบอร์ที่เหลือก็จะช่วยกันโวยวายว่า “เร็วๆเลยยย” จากนั้นเขาก็จะเอางานมาให้ผมครับ

  • Q: ฟังดูดีเลยที่สมาชิกในวงเป็นผู้ดูแลโปรเจ็ค (หัวเราะ) แล้วคุณจัดการกับไอเดียที่แตกต่างกันยังไง?

JM: ตอนแรกเลย เราจะนั่งคุยกันก่อนเป็นชม. คุยกันว่า ถ้าตอนนี้รู้สึกแย่ ก็เขียนเพลงเศร้าไปเลย ถ้ารู้สึกอยากมอบความหวังให้กับผู้คน ก็เขียนเพลงแบบนั้น เลยเลือกหัวข้อเพลงจากตรงนั้นเลยครับ แล้วพอเรามีกัน 7 คน อัลบั้มก็จะเป็นไปตามสถาณการณ์ปัจจุบัน อะงั้นใส่ skit ไปให้ครบ 7 เพลง แล้วก็ไม่ต้องมีเพลงเดี่ยวละกัน มาทำเพลงที่เราได้ทำงานด้วยกันเถอะ

  • Q: นั่นแตกต่างจากการทำอัลบั้มอื่นๆเลย

JM: พวกเราไม่เคยกำหนดว่า ใครทำเพลงนั้น ใครทำเพลงนี้ เรามักจะเลือกเพลง แล้วถามกันว่า “ใครอยากทำเพลงนี้? ใครอยากทำเพลงนั้น?” ผมเลยรู้สึกฮึดมากกว่า อยากให้เมมเบอร์ได้เห็นเพลงที่ผมทำ และเพราะว่าการทำงานด้วยกันมันสนุกมากครับ

ทุกครั้งเวลาที่ผมทำอะไรผมก็อยากให้พวกเขารู้ด้วย ผมชอบเวลาที่พวกเขาชมผม มันทำให้งานสนุกครับ พอเพลงเสร็จ พวกเราอยากให้แฟนๆสามารถเลือกเพลงจากความรู้สึกของพวกเขา เหมือนกับที่พวกเราทำครับแม้ว่าบางเพลงไม่ได้ผ่านการตัดต่อ (หัวเราะ) มันสนุกมากๆครับ

  • Q: คุณบอกว่าการถ่ายทอดบทเพลงให้แฟนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ขั้นตอนในการทำเพลงก็สำคัญเช่นกัน

JM: ก่อนหน้านี้ ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่เกี่ยวกับตัวผมก็คือ ผมเป็นคนที่ชอบที่จะเป็นที่รัก มองย้อนกลับไป ผมเข้าใจเลยว่าทุกอย่างที่ผมทำไปไม่ใช่แค่เพราะว่ามันเป็นงาน แต่เพราะการได้รับความรักจากเพื่อนๆ ครอบครัว เมมเบอร์และแฟนๆของผมครับ

มันยากนะครับที่จะรักษาเอาไว้ ผมรู้สึกถูกเติมเต็มถ้าผมมั่นใจว่าผมสามารถรักษาความรักพวกนั้นเอาไว้ได้ เหมือนได้มันมาเป็นของตัวเองน่ะครับแต่เพราะการได้รับความรักจากเพื่อนๆ ครอบครัว เมมเบอร์และแฟนๆของผมครับ มันยากนะครับที่จะรักษาเอาไว้ ผมรู้สึกถูกเติมเต็มถ้าผมมั่นใจว่าผมสามารถรักษาความรักพวกนั้นเอาไว้ได้ เหมือนได้มันมาเป็นของตัวเองน่ะครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : ผมหวังที่จะปลดปล่อยอารมณ์ของผมออกไปครับ โดยใส่ลงไปในท่าเต้น ท่าทางต่างๆ และการร้องของผมเพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ 

Weverse Magazine Jimin Pt.2

  • Q: มากกว่าการถูกรัก จริงๆแล้วคุณพอใจที่ความพยายามของคุณนั่นได้ผลและยังได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นๆ ด้วยใช่มั๊ย

JM: ผมคิดถึงเรื่องที่ผมได้รับอะไรจากพวกเขามากกว่าผมทำอะไรเพื่อพวกเขาอยู่บ่อยๆ นะครับ แม้ว่าจริงๆ แล้วผมเองไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรกับแฟนๆ หรือว่าเมมเบอร์ แต่ผมรู้สึกลึกๆจากใจจริงเลยนะครับ ว่าผมดีใจและขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำให้ผม ผมเห็นบางคนแคร์ผมมากๆ บางคนก็ไม่ แทนที่จะไปสนใจอะไรแบบนั้น ผมเรียนรู้ที่จะสนใจตรงนั้นน้อยลง และแสดงความรู้สึกอย่างจริงออกไปมากขึ้นต่อผู้คนที่ใส่ใจในตัวผมครับ

  • Q: กลายเป็นเรื่องยากที่จะแสดงความรู้สึกต่อแฟนคลับ ทางเดียวที่ทำได้คือบอกพวกเขาผ่านบทเพลง ตอนนี้คุณตั้งใจที่จะบอกอะไร?

JM: ทุกอัลบั้มและมิวสิควิดีโอที่เราทำมีข้อความในนั้นเสมอครับ คุณไม่ต้องเข้าใจมันก็ได้ ผมแค่อยากให้คุณฟังและดื่มด่ำ รู้สึกอิ่มเอมใจไปกับมัน อย่างแรกเลยผมอยากให้คุณชอบเพลงและเอ็มวีที่พวกเราทำเป็นอย่างดีและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อนำมามอบให้กับแฟนๆ ครับ

  • Q: ฉันคิดว่า สไตล์การร้องและเต้นของคุณมีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างในเพลง Black swan กับ Dynamite นี่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือเพราะรูปร่างที่เปลี่ยนของคุณเลยทำให้การเต้นของคุณดูมั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ในฐานะนักเต้น คุณต้องการที่จะสื่ออะไร

JM: ผมหวังที่จะปลดปล่อยอารมณ์ของผมออกไปครับ โดยใส่ลงไปในท่าเต้น ท่าทางต่างๆ และการร้องของผมเพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ ผมได้รับฟีดแบ็คเยอะเลยครับ ผมถามไปเรื่อยๆ ศึกษาเพิ่มเติมและเจอว่า เราสามารถถ่ายทอดอารมณ์แต่ละแบบผ่านการแสดงบนเวทีได้ยังไง รูปร่างแบบไหนเหมาะกับการทำการแสดงแบบนี้ เราทุกคนมีรูปร่างที่แตกต่างกันครับ และเพื่อให้ร่างกายของผมสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีที่สุด ผมเลยเลือกที่จะอดอาหารอย่างเคร่งครัดครับ แต่ไม่ได้เคร่งเท่าแต่ก่อนแล้วนะครับ (หัวเราะ)

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : ผมเลือกที่จะมองภาพเดียวกว้างๆ มากกว่าสนใจทีละองค์ประกอบ

  • Q: ถ้าดูตอนที่คุณเต้นเพลง Dynamite ร่างกายของคุณ โดยเฉพาะเวลาที่คุณหมุนตัว แตกต่างจากแต่ก่อน ดูพลิ้วขึ้น นี่คือผลของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของคุณด้วยรึเปล่า?

JM: ผมสังเกตดูว่าตัวเองอยากจะดูเป็นยังไง ตอนที่ผมน้ำหนักประมาณ 58 กก. ผมเลยเริ่มลดน้ำหนักไปอีก 5 โล เลยเจอว่าอยากจะมีลุคแบบนี้แหละต่อหน้าทุกคน ผมไม่ได้มีเป้าหมายของตัวเองหรอกครับแต่ก็มีบางครั้งที่รู้สึกอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนผมพยายามหนักมากเลยครับที่จะไม่คิดเกินตัวโดยที่ ไม่พยายามทำอะไรใหม่ๆ เพราะไม่อยากให้มีข้อผิดพลาด ผมพยายามหลีกเลี่ยงมัน

แต่ใน เพลง Dynamite ผมเลือกที่จะถ่ายทอดในแบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน อยากให้ผู้ชมเห็นชัดเจนเลยครับว่า ผมตั้งใจทำมันออกมา ผมพยายามทำให้มันดูซึ้งๆ นะครับ และผมยังพยายามทำให้ออกมาดูอ่อนโยนและตลกในเวลาเดียวกันด้วยนะครับ (หัวเราะ) เลยจบที่ผมเลือกที่จะมองภาพเดียวกว้างๆ มากกว่าสนใจทีละองค์ประกอบ

  • Q: คุณอยากจะโชว์อะไรออกไปให้ทุกคนเห็น?

JM: พวกเราไม่ได้แสดงโชว์จริงๆในช่วงที่มี โควิด ผมอยากแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆเลยนะครับ แต่พยายามที่จะก้าวข้ามผ่านมันไป เรายังทำงานอย่างหนัก แต่พอให้พูดถึงคำว่า “ทำงานอย่างหนัก” ผ่านการเต้นมันก็จะดูเหนื่อยไป ผมเลยเลือกที่จะยิ้มในขณะเต้นตอนถ่ายทำเพลง Dynamite

  • Q: คุณทำให้มันเกิดขึ้นได้ได้ยังไง ? มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ทั้งทีมยังคงมีแรงบันดาลใจในการทำงานในช่วงเวลาแบบนี้

JM: จากการระบาดของโควิด19 พวกเราเช็คโทรศัพท์และเจอว่าพวกเราได้ที่ 1 มันน่าทึ่งมากครับยากที่จะเชื่อ แม้ว่าเราทั้งหมดจะร้องไห้ (หัวเราะ) พอโควิดมาระลอกแรก เราบอกกันว่า “มันจะผ่านไปเร็วมาก แล้วพวกเราจะได้กลับไปทัวร์คอนเสิร์ตกัน” เราพูดกันแบบนั้นทั้งๆที่มันยากเหลือเกิน เราไปใส่เต็มทั้งหมดปีหน้าเลย เอาให้แหลกกันไปข้างเลย นั่นคือที่เราวางแผนกันไว้

แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่ามันแย่ลง ตอนที่ผมได้ยินว่าเป็นไปได้ยากที่เราจะได้ทำการแสดงในปีนี้ ในหัวผมว่างเปล่าเลยครับ มันโหวงไปหมด เราพักไม่ได้นะ คนอื่นๆกำลังพยายามกันอย่างหนักเพราะงั้นพวกเรายิ่งต้องพยายาม ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกดีใจหรือเศร้าใจ ไม่มีคำตอบอะไรเลย มันหนักมากเลยครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : ผมว่าเราต่างเชื่อมโยงและถ่ายทอดความรู้สึกถึงกันและกันได้เป็นอย่างดี

  • Q: แล้วคุณผ่านมันมาได้อย่างไร?

JM:จากที่ผมได้ให้สัมภาษณ์กับคนอื่นๆที่ถามผมว่า เป้าหมายของผมคืออะไร ผมตอบไปว่า ผมอยากที่จะแสดงกับเมมเบอร์ไปนานๆ นั่นน่าจะเป็นความฝันสูงสุดของผมแล้วครับ แต่ที่ผมบอกกับเมมเบอร์จริงๆคือ ผมอยากที่จะอยู่กับพวกเขาไปนานๆ

ผมว่าเราต่างเชื่อมโยงและถ่ายทอดความรู้สึกถึงกันและกันได้เป็นอย่างดี ผมกลัวมากเลยนะที่เมมเบอร์จะเหนื่อย แต่พวกเขาเลือกที่จะหัวเราะให้กันแล้วให้กำลังใจกัน เราพูดคุยกันมากขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ยังพูดคุยกันได้เสมอ ไม่ว่าจะตอนที่ดื่มด้วยกันที่บ้าน หรือว่าทำงานอยู่ก็ตาม

  • Q: อะไรทำให้คุณทำงานอย่างจริงจัง

JM: ผมอยากรักงานของผมทั้งจากภายนอกและภายใน ถ้าเรามองว่างานก็แค่งาน เราจะสนใจแค่ตัวเงินโดยที่ไม่ได้ใส่ใจในความเปลี่ยนแปลงต่างๆของเมมเบอร์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับแฟนๆ แล้วเมื่อคุณเริ่มเหนื่อยทั้งกายและใจ ฌห็นว่างานเริ่มน่าเบื่อ ความสัมพันธ์กลายเป็นความทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นแหละครับที่ผมกลัว

  • Q: ในเพลง Dis-ease มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้สึกที่เมมเบอร์มีต่อการทำงาน แล้วคุณละรู้สึกยังไง?

JM: ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นอาชีพของผมน่ะครับ ไม่ว่าจะการแสดงโชว์ หรือการร้องเพลง แต่พอผมต้องทำอย่างอื่นที่อยู่ต่อหน้ากล้อง นั่นแหละผมเริ่มคิดละว่านั่นเป็นงานจริงๆ การร้องเพลงและแสดงให้แฟนๆดู มันไม่ใช่งานสำหรับผมครับ มันเป็นอะไรที่ ผมอยากจะทำ อยากทำมันมากๆจริงๆ

  • Q: คุณมีส่วนร่วมในการช่วยเขียนเพลง Dis-ease ด้วยใช่ไหม?

JM: ท่อนบริดจ์ครับ ร่วมกับ Pdogg ตอนนั้นมีท่อนนึงที่ยังไม่ได้ทำนอง ผมเลยถามว่าผมลองทำได้มั๊ย? ผมก็เลยร้องออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วเขาก็ให้ผมร้องอีกครั้ง ผมเลยแบบ แน่ใจนะครับ แล้วเขาก็ให้ผมเขียนทำนองลงไป ผมเลยได้ทำครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : 

  • Q: บางเพลงในอัลบั้ม BE ก็มีอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่เพลง Disease ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพลงเกาหลีแนว old school ฮิพฮอพ

JM: ผมก็คิดแบบนั้นนะครับ ผมนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วตอนร้องเพลงนี้ครับ(หัวเราะ) หลักๆเพลงนี้พี่เจโฮปเป็นคนเขียน ไอที่ผมคิดผมอาจจะคิดอยู่คนเดียวนะครับ (หัวเราะ) ผมร้องเพลงในขณะที่ก็ตั้งคำถามว่าใครจะเป็นนักร้องนำเพลงนี้นะ ผมเลยทำอะไรที่ผมอยากทำครับและก็ยังยั้งๆไว้นิดนึงครับ (หัวเราะ) แต่มันสนุกมากๆเลย

  • Q: มีช่วงไหนในการทำเพลงที่เปลี่ยนการเทคนิคร้องบ้างมั๊ย? เห็นว่ามีหลายท่อนในเพลงอัลบั้ม BE ที่คุณแทบจะใช้น้ำเสียงโทนเดียวกับตอนพูดในการร้องเพลง?

JM: ปกติผมจะมีภาพในหัวผมเวลาที่ร้องเพลงครับ แต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้น โดยเฉพาะอย่างเพลง Life goes on เพลงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวผมโดยตรง ผมอยากสื่อว่า แม้ว่าผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ผมเข้าใจและเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นตั้งแต่แรกผมเลยไม่ได้คิดว่าผมต้องร้องออกมายังไง ไม่ได้พยายามจะรู้สึก แต่ผมเลือกที่จะร้องออกมาจากความรู้สึกของผมจริงๆครับ

  • Q: ในเพลง Telepathy ตอนที่คุณจะต้องพูดถึงการทำเพลงนี้ใน youtube เมมเบอร์พูดถึงไอเดียของการส่งกระแสจิตให้แฟนๆผ่านบทเพลง ถ้าคุณสามารถสื่อกระแสจิตกับแฟนๆได้จริงๆ คุณจะบอกอะไรกับพวกเขา?

JM: ผู้คนมีจิตใจที่งดงาม ผมแค่ไม่อยากให้เขาทิ้งสิ่งนั้นไป คุณถามถึงกระแสจิตใช่มั๊ยครับ ผมว่าระหว่างพวกเรากับแฟนๆเราสื่อถึงกันได้จริงๆนะครับ ไม่รุ้จะอธิบายได้ยังไงแต่ว่าเวลาที่พวกเราแสดงความรู้สึกออกไปอย่างจริงใจแฟนๆของพวกเราก็รับรู้ได้ครับ ผมว่านั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำไมแฟนๆยังสนับสนุนและคอยอยู่เคียงข้างพวกเราตลอดมา

  • Q: แล้วถ้ากลับกันล่ะ คุณอยากได้ยินอะไรจากแฟนคลับของคุณ?

JM: มีสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับแฟนๆของเรา คือ อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของพวกเขา พวกเขาจมอยู่กับอะไรมั๊ย อะไรที่ทำให้พวกเขามีความสุข ผมอยากรู้จริงๆนะครับ พวกเราเจอความยากลำบากมาเหมือนกัน ผมเลยสงสัยว่า จะมีใครที่ถามแฟนๆของพวกเรามั๊ยว่าพวกเขาโอเครึเปล่า ผมอยากให้ทุกอย่างดีขึ้นไวๆนะครับ ผู้คนสามารถผ่านมันไปได้ ผู้ใหญ่ทำตามกฏ ตอนนี้เด็กๆไม่ได้มีตัวเลือกมากนักในการจะทำอะไรที่พวกเขาอยากทำ

ผมจินตนาการได้ว่ามีเด็กอีกหลายคนเลยนะครับที่ถูกบังคับให้ทำอะไรตามที่ผู้ใหญ่บอก ผมอยากให้พวกเขาอธิบายให้เด็กๆเข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น จะได้ช่วยเหลือกันและกัน จะได้ผ่านพ้นโรคระบาดนี่ไปได้

  • Q: ในข่าวบอกว่า เรากำลังจะมีวัคซีนสำหรับโควิด-19 นั่นแปลว่าคุณอาจจะได้เจอแฟนๆอีกครั้งในเร็วๆนี้ ถ้าเจอกันอีกครั้งคุณจะพูดอะไรกับแฟนๆ

JM: ผมคิดว่าพวกเราคงไม่พูดอะไรมากไปว่าหยุดมองดูพวกเค้านานๆ และถ้าผมพูดอะไรออกไปได้ ผมจะบอกว่า “เราทำได้แล้วนะครับมาใช้ช่วงเวลาดีๆด้วยกันเถอะครับ”

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Weverse Magazine V Pt.2

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เว็บดูบอลสดฟรี

>>>>> UFABET