Weverse Magazine RM

Weverse Magazine RM แปลบทสัมภาษณ์ของนัมจุนในนิตยสารปี 2021

Weverse Magazine RM “ผมหวังว่า เส้นทางที่ผมกําลังเดิน สิ่งที่ผมกําลังทํา จะพาผมไปยังที่ไหนสักแห่งครับ”

Weverse Magazine RM ในชีวิตของเขามีเกียร์อยู่ 2 อันที่ RM จะคอยเปลี่ยนอยู่ตลอด เมื่อเขาต้องเร่งเกียร์ในฐานะผู้นําของกลุ่มที่เป็น นักสร้างผลงานระดับโลก และ [อีกเกียร์] เมื่อเขาเดินทางกลับบ้าน และค่อย ๆ เปิดแคตตาล็อกของศิลปินบางคนขึ้นมา มาดูช่วงเวลาระหว่างการเดินทางของศิลปินหนุ่ม ในการค้นหาภาพเขียนของเขากันเถอะ

Weverse Magazine RM บทสัมภาษณ์ Pt.1 : มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับ BTS

Weverse Magazine RM

  • คุณยังออกกําลังกายอยู่ไหม? สัดส่วนของคุณดูต่างจากเดิมมากเลยนะ

RM: ประมาณหนึ่งปีแล้วมั้งครับ ที่ผมเริ่มออกกําลังกาย 4 ครั้งต่อสัปดาห์โดยไม่ล้มเลิก มันเหมือนเส้นชีวิตของ ผมครับ (หัวเราะ) เพราะถ้าคุณออกกําลังกาย ร่างกายของคุณก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ผมชอบเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนว่า ตัวผมกําลังทําอะไรบางอย่างอยู่ และพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ครับ หากคุณดูที่คนอื่นโพสต์ถึงความคืบหน้า คุณจะเห็นว่าร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ผมไม่ได้เข้มงวดกับการควบคุมอาหารมากนัก สําหรับผมมันเลยไม่ใช่แบบนั้นครับ (หัวเราะ) ถึงกระนั้นผมรู้สึกได้ว่ารูปร่างของผมได้เปลี่ยนไปทีละนิดครับ

  • ฉันเห็นในวิดีโอ ‘ARMY Corner Store’ สําหรับ FESTA 2021ที่ถูกอัปโหลดไปยัง YouTube เพื่อเฉลิม ฉลองวันครบรอบ 8 ปีของพวกคุณ ว่าทุกวันนี้ ชีวิตของคุณมุ่งเน้นไปที่การทํางานและการแสดง การทํากิจวัตร ที่ซ้ําซากจําเจนั้นนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณหรือไม่?

RM: กิจวัตรประจําวันของผมชัดเจนมากนะครับ ตอนนี้มันก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่ผมเริ่มทําสิ่งนี้ ตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้ว ผมคิดนะครับว่าผู้คนเขาใช้ชีวิตกันแบบนี้เหรอ? ผมต้องไปทํางานและกลับบ้าน จากนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ผมต้องทํา ณ ตรงนั้น และสิ่งที่ผมต้องทําต่อไป อย่างการออกกําลังกายเป็นต้น และเช่นเดียวกัน สําหรับการเข้าชมนิทรรศการต่าง ๆ นั้นผมจึงคิดว่าธรรมชาติของผมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากใน ช่วงหนึ่งปีนี้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันดีสําหรับผมในฐานะครีเอเตอร์รึเปล่านะครับ

  • ทําไมเป็นเช่นนั้นล่ะ?

RM: มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับ BTS แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน บางครั้งมันก็รู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์ของผมก็เท่านั้นอ่ะครับ เวลาผมฟังเพลงอื่น ๆ หรือดูอะไรซักอย่าง บางทีผมก็จะคิดว่าถ้าหากเป็นผม ผมจะทํามันออกมาในรูปแบบไหนกันนะ แต่ชีวิตผมก็อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ผมจึงได้แต่วาดภาพต่าง ๆ จากชีวิตของผมเองเท่านั้นครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : มีบางอย่างระหว่างพวกเรากับป๊อปสตาร์ชาวอเมริกันที่แตกต่างออกไป

Weverse Magazine RM

  • ในกรณีนั้น คุณรู้สึกอย่างไรกับการรักษาพลังงานสําหรับการแสดง Grammys ของคุณ และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “Butter?

RM: ผมมีความสุขมากที่พวกเราได้เพิ่มอีกหนึ่งรายการเข้าไปในรายการความสําเร็จของเราครับ ผมคิดว่าทีมของเราต้องการงานนี้จริงๆ มันทําให้ผมรู้ว่าพวกเรายังเหลือสิ่งที่ต้องทําอยู่อีก และเหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากจะขอบคุณอาร์มี่ที่ทําให้ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ครับ ผมเป็นคนเกาหลีคนนึง การค้นหาความสุขจากความสําเร็จจึง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยครับ (หัวเราะ) มันน่าพึงพอใจและดีจริง ๆ ครับ มันจะดีกว่านี้ถ้าหากพวกเราได้รับรางวัล Grammys มา แต่ถ้าหากเราไม่ได้แล้วมันจะยังไงล่ะ? ท้ายที่สุดแล้ว การได้รับมันมาก็หมายความว่าคุณจะมี ถ้วยรางวัลเพิ่มมาวางที่บ้างอีกถ้วยหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นกิจวัตรประจําวันของคุณก็ซ้ําเดิมอยู่ดีอ่ะครับ

  • การเขียนเนื้อเพลงสําหรับ Butter เป็นอย่างไรบ้าง? การแสดงของคณกับชูก้า ช่วยเพิ่มพลังในครึ่งหลังเพลงให้เพิ่มมากขึ้น และคิดอีกว่ามันได้สร้างสมดุลเพื่อพัฒนาเพลงโดยรวมแรปสั้น ๆ ของคุณให้ความรู้สึก เหมือนเป็นการผสมผสานกันระหว่างป๊อปอเมริกัน กับสไตล์ที่โดดเด่นของ BTS เลย

RM: เป็นส่วนที่ผมใช้เวลากับมันมากที่สุดเลยครับ แม้ว่าเพลงจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมคิดว่าพวกเราควรทําให้มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเพลงของเราเอง พวกเราจึงเก็บกลิ่นอายของต้นฉบับเอาไว้ แต่ก็ใส่รสชาติของพวกเราเองเข้าไปในตอนท้ายเล็กน้อยครับ

  • ฉันรู้สึกว่าการปรับจูนนั้นออกมาอย่างดีเลยล่ะ มันสั้นก็จริง แต่ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นเพลงที่แตกต่างจากนี้อย่างมาก ถ้าหากไม่มีส่วนนั้นเพิ่มเข้ามา

RM : มันจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ถ้าไม่มีส่วนนั้นใช่ไหมล่ะครับ? (หัวเราะ) ผมรู้สึกเหมือนกับว่าต้องมีมันอยู่ ตรงนั้นจริง ๆ ครับ มีบางอย่างระหว่างพวกเรากับป๊อปสตาร์ชาวอเมริกันที่แตกต่างออกไป DNA ของพวกเรา มันแตกต่างกันครับ

  • การทําเพลง ‘Permission to Dance เป็นอย่างไรบ้าง? เพียงนิ้วมือข้างเดียวก็เพียงพอที่จะใช้ในการนับแล้ว ว่ามีเพลงของ BTS สักกี่เพลง ที่จะมีเมสเสจที่เป็นพลังบวกได้มากเท่ากับเพลงนี้

RM: ใช่แล้วล่ะครับ พวกเขามีการพูดถึงการเติมท่อนแรปเข้าไปในเพลง ‘Permission to Dance ในขณะที่ พวกเรากําลังทํามันอยู่ แต่พวกเราบอกว่ามันคงไม่เวิร์คหรอก ผมรู้สึกสนุกกับการร้องเพลงและเต้น มากกว่าสิ่ง อื่นใดครับ ผมคิดว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนได้สนกในขณะที่ร้องเพลงและเต้นไปด้วยอ่ะครับ มันรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ได้ใส่ทุกอย่างลงไปในเพลงนี้และเพียงแค่หัวเราะ

แทนที่จะคิดอะไรมากเกินไปครับ ผมคิด ว่านั้นคือพลังของเพลงนี้ ผมไม่ได้รู้สึกเครียดกับการเตรียมตัวเหมือนกับเพลง ‘Butter’ ครับ เมื่อพูดถึง “Butter’ ผมต้องมานั่งคิดว่าเราควรจะโชว์อะไรออกไป และจะโชว์มันออกไปยังไง ผมมักจะคอยระวังไม่ให้เกิด ปัญหากับไดนามิกภายในกลุ่มเสมอ แต่สําหรับ Permission to Dance’ ผมไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยครับ กับ เพลงนี้ ผมรู้สึกว่าผมก็แค่ต้องใช้ความสนุกเพลิดเพลินที่ตัวเองรู้สึกลงไปก็เท่านั้นเองครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : ช่วงปี 2015 ถึง 2017 เป็นช่วงเวลาที่ยากลําบากสําหรับพวกเราและแฟน ๆ ของเราครับ

  • หลังจากความสําเร็จอย่างต่อเนื่องที่คาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นกับ ‘Dynamtte’ และ ‘Butter’ เพลงนี้ก็ให้ความรู้สึกสบายผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

RM: โอ้ มันสนุกมากจริงๆ ครับ อย่างนั้นเลยล่ะครับ มันมีท่อนนึงในเนื้อเพลงที่เขียนว่า พวกเราไม่ จําเป็นต้องไปกังวล เพราะเมื่อเราล้มลง เรารู้วิธีลงจอด ข้อความนั้นเป็นข้อความที่สากล แต่คุณสามารถพูดได้ เลยว่านั้นเป็นสิ่งที่ BTS พูดกันมาโดยตลอดครับ

  • คุณได้พูดถึงเพลง ‘2!3! ใน ‘ARMY’s Corner Store โดยกล่าวว่า “ช่วงปี 2015 ถึง 2017 เป็นช่วงเวลาที่ยากลําบากสําหรับพวกเราและแฟน ๆ ของเราครับ” ที่คุณสามารถพูดแบบนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่าในที่สุดคุณก็ตระหนักถึงวิธีการลงจอดแล้วใช้ไหม?

RM: สิ่งที่ผมทํามันสามารถถูกมองว่าเป็นธุรกิจธุรกิจหนึ่งได้ – ธุรกิจแบบตัวต่อตัว นั่นคือเหตุผลทําไมผมถึงอยากจะซื่อสัตย์กับอาร์มีให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ จะบอกว่าอย่างหมกมุ่นเลยก็ว่าได้ครับ พวกเขาบอกว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในโลกแห่ง K-pop และมันก็มีความเชื่อที่ดีในเรื่องนี้ เพราะผมก็ไม่อยากทําให้แฟน ๆ ต้องกังวล แต่ก็อยากบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเราได้เผชิญกันมาให้พวกเขาฟังให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทําได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมพูดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ก็คือผมต้องการตอบแทนให้กับผู้คนจํานวนมากครับ การถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ก็เหมือนการพูดว่า นั่นมันไม่ใช่พวกเรานะ และเพราะมันได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว คือผมคิดว่าเพราะมันได้กลายเป็นอดีตไปแล้วอ่ะครับ เนื่องจากว่าพวกเราก็ค่อนข้างประสบความสําเร็จกันในระดับนึงแล้ว และเนื่องจากวันเหล่านั้นมีความจําเป็นอย่างเห็นได้ชัด ผมคิดว่าพวกเราควรที่จะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ยากลําบากเหล่านั้นได้ครับ

  • รู้สึกเหมือนมันเป็นอะไรที่คุณต้องการสื่อไปถึงแฟน ๆ ของคุณเลย

RM: บางทีพวกเราก็เป็นศิลปินที่จิตวิญญาณถูกเติมเต็มไปสู่แก่นแท้ของพวกเรา บางทีพวกเราก็เป็นกลุ่ม คนทํางานที่มีความพิถีพิถัน และบางครั้งเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาคม ‘do-you-know* ที่มีความรักชาติ พวกเราเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน นั่นคือเหตุผลที่พวกเราพูดถึงเรื่องบทบาท (persona) และ อัตตาเสมอมาครับ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดและเหงากับการที่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้มากถึงขนาดนี้ แต่ผมว่านั้นคือสิ่งที่ผมเป็น ผมต้องการที่จะแสดง [ความคิดและความรู้สึก] ออกมาอย่างเต็มที่ครับ

*do-you-know ที่ถูกพูดถึงคือทําถามว่าคนเกามักจะถามต่างชาติว่า “คุณรู้จักไหม เช่น “คุณรู้จัก BTS ไหม?” ปกติแล้วจะเป็นคําถามเกี่ยวกับคนดัง รายการดัง อาการเกาหลีหรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นในเกาหลีในตอนนั้น เป็นคําถามที่ เป็นการโปรโมทประเทศ ส่งเสริมวัฒนธรรมเกาหลีไปในตัวนั้นเอง (Cr.modooborahae)

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : ผมได้เผชิญกับแรงกดดันมากมายมาตลอดชีวิตการทําเพลง

  • สามารถบอกได้ไหมว่าเพลง ‘Bicycle ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วง FESTA 2021 แสดงให้เห็นถึงความเป็น คุณ? คุณได้พูดถึงอารมณ์ความรู้สึกในชีวิตประจําวันของคุณ โดยใช้จักรยานเป็นอุปมา

RM: ผมได้เผชิญกับแรงกดดันมากมายมาตลอดชีวิตการทําเพลง เพื่อก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย หรือในการทํา เพลงที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเทคนิคการแรปของตัวเอง ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเทรนด์ [ณ ตอนนั้น] ผมอยากแรปเก่งและอยากได้รับการยอมรับบ้างครับ ในแง่นั้นคุณสามารถพูดได้ว่า “Bicycle ค่อนข้างมีความท้าทาย

ผมต้องการปล่อยเพลงเพื่อฉลอง FESTA แต่สําหรับผม เนื้อหาเป็นอะไรที่สําคัญมากครับ จักรยานเป็นอะไรที่สําคัญมากสําหรับผม ดังนั้นผมจึงลงเอยด้วยการเขียนถึงมันครับ เพลงนี้ เหมือนเป็นเข็มทิศ รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นการบอกว่าตอนนี้ผมอยู่ตรงไหนแล้ว ชีวิตปัจจุบันของผมคือการป้อนข้อมูล ดังนั้นสิ่งนั้นจะจบลงด้วยการเป็นผลลัพธ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ

  • มีท่อนนึงในเนื้อเพลงที่คุณบอกว่า เมื่อคุณมีความสุข มันทําให้คุณเศร้า” [มันทําให้] ฉันจินตนาการถึงภาพที่คุณกําลังขี่จักรยาน และครุ่นคิดถึงชีวิตของคุณไปด้วยเลย

RM: ความรู้สึกของผมจะสุดโต่งมากทุกครั้งที่ผมออกไปขี่จักรยานครับ ในบางครั้งบุคลิกนิสัยของผมก็จะไปสุดขั้ว ทั้งสองทาง [ไม่สุขมาก ก็ทุกข์มาก] แต่มันก็ได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งด้วยตัวของมันเองเมื่อผมได้ออกไปขี่จักรยานครับ เมื่อผมปั่นจักรยาน ผมเป็นอิสระจากแรงกดดันจากสิ่งที่ผมควรจะรู้สึกและนึกคิด ผมไม่สนหรอก ครับว่าคนอื่นจะจําผมได้หรือเปล่า และนั่นคือความรู้สึกของผมที่ใกล้เคียงความเป็นอิสระมากที่สุด ทั้งทางกายและจิตใจเลยครับ เมื่อผมปั่นมันไปเร็ว ๆ และรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนก้อนเมฆ

  • ในกรณีของฉัน มีร้านหนังสือใหญ่ ๆ แห่งนึง ที่อยู่ในละแวกที่ฉันอยู่ และบางครั้งฉันจะเดินไปที่นั่นด้วยตัวเอง และทบทวนว่าฉันเป็นคนแบบไหน ในขณะที่กําลังเลือกซื้อหนังสือ มันทําให้ฉันนึกถึงตอนนั้นเลย

RM: ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือของคุณ Lee Seok Won จาก Sister’s Barbershop ครับ ตอนนั้นเขาได้ไตร่ตรองว่าทําไมเขาถึงชอบร้านหนังสือ เขาจําได้ว่าไม่เพียงแค่เสียงที่เบาเท่าของพวกเขา และไม่ได้มองใครอื่น และในนั้นมันก็แฝงความเป็นอิสระอยู่บ้าง ผมเข้าใจสิ่งนั้นจริง ๆ ดังนั้นผมจึงหาเวลาไปที่ร้านหนังสือ และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้นครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : ผมว่าผมอยู่จุดใดจุดหนึ่งของชีวิตผมแล้วมั้งครับ

Weverse Magazine RM

  • ฉันลงเอยด้วยการพูดคุยกับตัวเองจากการมองดูปกหนังสือทั้งหมดในร้าน ในแง่หนึ่ง มันเป็นการไตร่ตรองเรื่อง การไตร่ตรองอีกที แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเวลาที่จําเป็นสําหรับคุณโดยเฉพาะเลยนะ

RM: ผมคิดว่าผมคงจะเบื่อมากถ้าไม่มีมันอ่ะครับ เพราะช่วงนี้ผมได้แต่เก็บตัวครับ [ได้แต่] อ่านหนังสือ! ออกกําลังกาย! ไปที่แกลเลอรี่! ขี่จักรยานของผม! (หัวเราะ)

  • ดังนั้นการแต่ง Bicycle’ จึงเป็นประสบการณ์ที่คุณต้องก้าวผ่านอยู่ดี แม้ว่าเราจะไม่แน่ใจว่าคุณมาจากไหน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน หรือกําลังมุ่งหน้าไปที่ใด

RM: ใช่เลยครับ มันเป็นก้าวสําคัญสําหรับเพลงสําหรับผมจริงๆ ครับ และผมคิดว่าผมก็ตระหนักถึงมันในระดับ หนึ่งในตอนที่ผมปล่อยมันออกไปสําหรับ FESTA ครับ ผมตกลงที่จะทําอะไรบางอย่างในตอนแรก แต่แล้วผมก็กลับมาถามตัวเองว่าผมควรทําอะไร และก็นึกขึ้นได้ในทันที : มาทําอะไรที่เกี่ยวกับจักรยานกันเถอะ

  • แม้แต่เพลงก็มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับเพลงทั้งหมดที่คุณเคยฟังมา ตั้งแต่เพลงโฟล์ค ไปจนถึงแนวฮิปฮอป และอินดี้เกาหลีด้วย

RM: คุณพูดได้ถูกต้องเลยครับ ผมได้นําแนวทางของดนตรีจากคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมาใช้ศิลปินที่ผม ฟังในช่วงนี้ เช่น Eliott Smith, Jeff Buckley และกลุ่มอย่าง KIRINJI ครับ

  • เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ผลลัพธ์ที่ได้คือเพลงที่มีสไตล์ที่ยากจะถือว่าเป็นยุคใดยุคหนึ่ง ทั้งอารมณ์และเสียงก็ไม่ได้มี ความย้อนยุค และก็ไม่ได้สะท้อนถึงเทรนด์ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

RM: ตัวผม และตัวทีมของเรา คุณสามารถพูดได้ว่าเราอยู่แถวหน้าของ [วงการ] ป็อป พอผมได้ทําเพลง Bicycle ขึ้นมาแล้ว พวกเราก็สงสัยว่าเราควรลงมือกับมันดีไหมนะ แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมลงเอยด้วยวิธีนี้แทนครับ เพราะชีวิตผมมันก็เป็นแบบนี้ในตอนนี้อ่ะครับ เป็นการดีสําหรับผมที่จะได้รู้จักตัวเองในแบบนี้ แต่ผม ก็ไม่ต้องการที่จะดักทางตัวเองเช่นไว้เช่นกัน

ในทางกลับกันผมมีความสนใจในศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกที่แตกต่าง จากผมโดยสิ้นเชิงครับ มีกระทั่งคนที่ทําดนตรีออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้สนใจในแนวเพลงที่ผมสนใจ ในตอนนี้ มัน – ผมจะพูดยังไงดีอ่ะครับ? อย่างไรก็ตาม ผมว่าผมอยู่จุดใดจุดหนึ่งของชีวิตผมแล้วมั้งครับ (หัวเราะ)

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : “นับแบบอายุเกาหลี ผมอายุเพียง 27 ปีเองครับ”

รูปภาพ

  • ปีที่แล้ว ในการให้สัมภาษณ์กับ Weverse Magazine คุณกล่าวไว้ว่า “นับแบบอายุเกาหลี ผมอายุเพียง 27 ปีเองครับ” ฉันคิดว่า ‘Bicycle อาจเป็นคําตอบของคุณเองสําหรับคําพูดนั้น – เพลงของคนที่เติบโตมากับการ ฟัง Drake ณ ที่เกาหลี

RM: คุณเข้าใจเป็นอย่างดีเลย อย่างนั้นเลยครับ เมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 Drake คือบุคคลที่ทําให้ผมคิดว่าผมเองก็ร้องเพลงได้เหมือนกันครับ (หัวเราะ) และนั่นคือสิ่งที่ทําให้ผมมาอยู่ตรงนี้ในอดีต ผมอยากทําอะไรบางอย่างให้เหมือนกับที่ Drake ทํา เขามีอิทธิพลต่อดนตรีตะวันตกในขณะที่แนวเพลงที่เขาวิ่งตามได้เปลี่ยนไป แต่เนื่องจากผมไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาใช้ ผมจึงไม่สามารถทําเพลงแบบเดียวกันกับพวกเขาได้ครับ

  • และด้วยเหตุนั้น ฉันคิดว่ามันจะเป็นแนวเพลงที่จะอยู่ในเพลย์ลิสต์ของผู้คนที่เป็นแบบคุณในที่สุด เพราะมันมี สไตล์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกรวม ๆ ของบุคคลนั้นได้มากกว่าแนวเพลงที่เจาะจง

RM: มันมักจะออกมาในรูปแบบนั้นครับ บางครั้งผมก็คิดแบบนี้: ผมจะสามารถใส่เพลง ‘Bicycle ลงใน มิกซ์เทปเดียวกันกับเพลงบางเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด อย่างที่ผมเพิ่งพูดถึงได้ไหมนะ? ผมหวังว่าผมจะมีความช่วงโชติชั่วขณะหรือภาพแบบนั้นเมื่อผมทําเพลงอ่ะครับ แต่ทุกวันนี้ผมทํามันได้ช้ามาก ผมไม่สามารถนึก ถึงเนื้อเพลงได้ดีเหมือนกับที่ตัวเองเคยคิดได้แล้วครับ

ผมมีหนทางในการซึมซับสิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจากตัวผม กลับถูกจํากัดเอาไว้อย่างน่าหัวเราะ พวกเขากล่าวว่ามีเรื่องราวมากมายของศิลปินในอดีตที่เมื่อ พวกเขาไปยืนอยู่ที่หน้าผืนผ้าใบ และไม่สามารถหยิบแปรงขึ้นมา [วาดเขียนอะไรได้] และได้กรีดร้องออกมาว่า “ฉันเป็นใครกัน? นั่นเป็นความรู้สึกที่ผมกําลังรู้สึกครับ ผมนั่งทํามิกซ์เทปมาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว แต่ก็ทําเพลงเสร็จไปแค่ไม่กี่เพลงเองครับ

  • มันอาจเป็นเพราะว่าทิศทางที่คุณต้องการดําเนินกับเนื้อเพลงของคุณได้เปลี่ยนไป ก็คือแทนที่จะเป็นประสบการณ์หรือความเห็นทางสังคมของคุณเองที่คุณนํามาใช้ คุณกลับกําลังพยายามนําไอเดียที่คุณมีในหัวออกมาใช้ยังไงล่ะ

RM: นั่นคือสาเหตุที่ผมไม่สามารถเขียนเนื้อเพลงได้เร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าผมกําลังทําอะไรอยู่ ผมเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเขียน ๆ มันลงไปก่อน และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมมองว่ายุนกิฮยองเป็นคนที่ น่าทิ้งมากคนนึงครับ คือฮยองเขาทําเพลงเยอะแยะมากมายแบบนั้นได้อย่างไรอ่ะครับ? แถมทําได้ดีด้วย อาจเป็นเพราะว่าเขาอาจใช้มุมมองของความเป็นโปรดิวเซอร์มั้งครับ

แต่คือผมทําไม่ได้ครับ ผมไม่เพียงแต่อิจฉาเท่านั้น แต่ผมยังคิดว่าจุดเริ่มต้นในการทําเพลงของผมต้องเริ่มจากเนื้อเพลงด้วยครับ ผมแค่ผมหวังว่า [สิ่งที่ผมกําลังทํา] จะพาผมไปยังที่ไหนสักแห่งอ่ะครับ แต่นั่นคือความรู้สึกที่ผมมีเสมอ (หัวเราะ) ดังนั้นเมื่อผม ย้อนกลับไปฟังผลงานต่างๆ ของผมจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มันก็ฟังดูเก่าไปแล้วอ่ะครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.7 : ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าความสัมพันธ์ของคนเราก็เป็นเหมือนคลื่นที่ซัดเข้าหากัน

รูปภาพ

  • คุณได้ไปฟิตในเพลง ‘Don’t ของคุณ eAeon ซึ่งมีเนื้อเพลงที่น่าประทับใจมากเช่นกัน เนื้อเพลงที่เริ่มด้วย การพูดถึงสีของคลื่น และลงท้ายด้วยภาพของก้อนกรวด ดูเหมือนว่าจะเป็นความสนใจในงานศิลปะของคุณ ที่ช่วยทําให้คุณสามารถสร้างภาพดังกล่าวต่อไปได้เรื่อย ๆ

RM: ผมไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ชัด แต่มันน่าจะเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนครับ ผมเคยเห็นบทความที่ศิลปินท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่าก้อนกรวดคือรูปแบบ/รูปทรงที่สมบูรณ์แบบ: หินที่สึกกร่อนซ้ําแล้วซ้ําเล่าท่ามกลางเหตุการณ์และเรื่องบังเอิญต่าง ๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ถูกปั้นให้เป็นทรงกลม ศิลปินท่านนั้นกล่าวว่าเขาได้เก็บก้อนกรวดมาเป็นเวลานาน โดยกล่าวว่าก้อนกรวดนั้นเรียบเนียนอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีมุมแหลมใด ๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทรงกลมหรือวงรีที่สมบูรณ์แบบก็ตามครับ

ผมชื่นชอบคุณ Lee Ooede เป็นอย่างมากครับ ผมเห็น ข้อความอ้างอิงในหนังสือเกี่ยวกับงานศิลปะของเขาว่า: “มาพัวพันกัน ให้พวกเรามายืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกันกันเถอะ อย่าทะเลาะกัน และมากลายเป็นก้อนกรวด ในการบรรยายเรื่องภาวะผู้นําบทใหม่ของประเทศของฉันกันเถอะ”

เขาเขียนไว้ในจดหมายขณะที่เขาทํางานในช่วงที่ประเทศมีอิสรภาพ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ทันสมัยมากใน การแสดงออกถึงสิ่งต่าง ๆ ออกมาสําหรับคนที่อาศัยอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายในปี 1948 สําหรับการที่ต้องการจะกลายเป็นก้อนกรวด ผมรู้สึกว่าคําพูดของเขายังคงมีความหมายอยู่ ราวกับว่ามันยังคง สืบเนื่องต่อไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่าการใช้คําว่า ‘ก้อนกรวดของศิลปินสองท่านนั้นทําให้ผมประทับใจครับ

  • ฉันรู้สึกประทับใจที่คลื่นลูกขนาดค่อนข้างใหญ่ได้เปิดทางให้กับภาพของก้อนกรวดเล็ก ๆ และจากนั้นคุณก็ลง ท้ายด้วยเนื้อร้องอย่าง ชื่อที่มีแต่เธอที่รู้ อย่าพรากมันไปเลย” และ ดอกไม้ป่าที่ไหนก็ไม่ต้องการ เกี่ยวกับการ แสดงตนเพียงเล็กน้อย ที่ถูกผู้อื่นกําหนด/นิยามเอาไว้

RM: ใช่ครับ มันสนุกดีนะครับ ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าความสัมพันธ์ของคนเราก็เป็นเหมือนคลื่นที่ซัดเข้าหากัน และผมคิดว่ามันได้ผสมผสานกับความคิดของผมที่มีเกี่ยวกับก้อนกรวด และมันก็มาพร้อมกันแบบทันทีทันใด ครับ มีประโยคนึงที่ผมเขียนเอาไว้เมื่อนานมาแล้วขณะที่ผมกําลังนั่งคิดอยู่ริมทะเล ผมคิดว่าในตัวคลื่นมีสี อะไรบ้างนะ? เวลาที่มีคนพูดถึงคลื่นที่ซัดเข้ามา เขาพูดถึงคลื่นอะไรกันนะ? แล้วคลื่นมันสีฟ้าหรือสีขาวล่ะ?

ในขณะที่คิด ผมใช้อารมณ์ความรู้สึกมากจนเกินไป [จนดิ่งลงไปในความรู้สึกเหล่านั้น] (หัวเราะ) แต่อีกครั้ง นั้นมันคือตัวผมครับ ผมก็เลยเขียนประโยคนี้ขึ้นมาว่า ระลอกคลื่นเดิมที่แล้วเป็นสีอะไรกันนะ?” และฟัง เพลงที่คุณ eAeon ส่งมาให้ พอฟังแล้วมันเหมือนกับว่ามีหมอกลอยอยู่เหนือมหาสมุทรเลยครับ มันง่ายต่อการเริ่มเขียนเนื้อเพลงมาก เพราะความรู้สึกจากประสาทสัมผัสของประโยคนั้น

ดันไปทับซ้อนกับสิ่งที่เขาส่งมาให้ ผมพอดี มันเป็นอะไรที่เรียกว่า “aha moment” อ่ะครับ (หัวเราะ) และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้น ผมจะนึกเนื้อเพลงออกได้ในรวดเดียวเลยครับ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเองครับในการเขียนเนื้อเพลง [หลังจากนั้น] ผมได้มานึกเนื้อเพลงเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ผมก็ลงเอยด้วยการใช้เวอร์ชั่นแรกที่เขียนเอาไว้อยู่ดีครับ

*aha moment = โมเมนต์ที่ทําให้อ่อ โมเมนต์ที่นึกอะไรออก

  • สิ่งที่คุณกําลังมองหาคืออะไรกัน ที่ทําให้คุณคิดมากขนาดนั้น?

RM: สุดท้ายแล้ว มันสําคัญสําหรับผมที่จะถามว่าตัวเองเป็นใคร และผมต้องการแสดงให้เห็นว่าผมเป็นใครกันแน่ แต่ผมก็มีช่วงเวลาที่ลําบากจริงๆ เพราะผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมค้นพบมันใช่รึเปล่า ดังนั้นสําหรับตอนนี้ Bicycle ก็เป็นผลมาจากการรวบรวมตัวตนที่ผมคิดว่าเป็นตัวแทนของผมเอาไว้ดีที่สุดแล้วครับ แม้แต่ตอนที่แต่งเพลง ‘Bicycle’ ผมยังต้องถ่ายทอด

จะพูดยังไงดีล่ะครับ? มันเป็นเพียงแค่เรื่องราวของผม เด็กคนนี้ที่มาจากนอกพื้นที่ของเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่ผมไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ครับ ผมไม่สามารถปล่อยมือจากเด็กคนนั้นที่เคยแสดงที่ฮงแดได้เลย มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะแสดงออกหรือยึดติดเอาไว้ให้แน่น แต่มันเป็นเนื้อแท้ของตัวผม ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกจริง ๆ ครับ (หัวเราะ)

ยังไงแล้ว คุณก็คงจะขี่จักรยานของคุณ [ต่อไป] อยู่แล้วล่ะ

RM: นั่นสิครับ อย่างแน่นอนครับ (หัวเราะ)

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Weverse Magazine Jin

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เว็บดูบอลสดฟรี

>>>>> แทงบอล