Weverse Magazine V Pt.2

Weverse Magazine V Pt.2 BTS BE comeback interview “V”

Weverse Magazine V Pt.2 BTS BE comeback interview “V” 2020.11.25

Weverse Magazine V Pt.2 แปลบทสัมภาษณ์ของ V ใน Weverse Magazine ฉบับแรกของบังทัน โดยเป็นการพูดถึงการคัมแบคอัลบั้มอย่าง BE ว่าพวกเขามีการทำงานกันอย่างไร และในฐานะที่เขาเป็นวิชวลของวง และการมีส่วนร่วมของเขาในอัลบั้มครั้งนี้ จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้

Weverse Magazine V Pt.2 บทสัมภาษณ์ Pt.1 : “ผมหวังว่าพวกเราจะได้กลับไปอยู่กับ ARMY …ได้กลับไปหัวเราะด้วยกันครับ”

Weverse Magazine V Pt.2

  • Q: ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง? มันก็นานแล้วนะตั้งแต่ที่คุณได้เจอแฟน ๆ ของคุณ

V: ผมไม่ได้รู้สึกเครียดเกินไปกับการที่ผมไม่สามารถไปพบแฟน ๆ ซึ่งหน้าได้ในตอนนี้ครับ ผมเพียงอยากจะเห็นพวกเขาในช่วงที่มันปลอดภัยที่จะออกมาเจอกันแล้วครับ ผมคิดว่า ในตอนนี้ผมยังรอให้ถึงเวลานั้นได้ครับ

  • Q: อย่างที่ในเนื้อเพลงของคุณได้ร้องว่า “Life Goes On” คุณได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้าใช้ชีวิตของคุณต่อไป

V: เราต้องก้าวต่อครับ เราไม่สามารถรู้สึกสิ้นหวังตลอดไปได้ ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลยหลังจากที่ได้ทำเพลงหลาย ๆ เพลงครับ

  • Q: นอกเหนือจากการทำเพลง “Dynamite” คุณใช้เวลาอยู่นอกบ้านน้อยมาก คุณใช้เวลาอย่างไรหรือในขณะที่คุณได้มีเวลาอยู่กับตนเอง?

V: จริง ๆ แล้วผมเพียงแต่ชอบการแยกตัวออกมา ดังนั้นผมก็เลยจะนั่งอยู่ในห้องของผมเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชั่วโมง ๆ เลยครับ ผมเคยลองเปิดหนังดูสักเรื่อง แต่ผมก็ไม่สามารถมีสมาธิกับมันได้เลยแล้วก็จะปลีกตัวออกไปครับ เมื่อไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น มันจะเหมือนว่า ผมกำลังใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคิดหรือไม่ต้องสนใจโลกเลยครับ บางทีในวันข้างหน้าผมก็ควรจะลองทำเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ดูนะ อาจจะตั้งชื่อว่า “Spaced” ครับ (หัวเราะ) อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ผมก็กำลังมองหาหนทางที่จะหมั่นทำให้ตัวเองมีความสุขอยู่ครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : “สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้เดินทางผิด! กลายเป็นว่าเรามีโอกาส—มันเป็นไปได้จริง ๆ ด้วย!”

Weverse Magazine V Pt.2

  • Q: คุณได้ค้นพบอะไรบ้างหรือเปล่า?

V: อืม… ช่วงนี้ผมกำลังฟังแผ่นเสียงแบบ LP (Long-player) หลาย ๆ แบบอยู่ครับ มันกำลังจะถึงฤดูกาลของคริสต์มาสแล้ว และผมก็ชอบหิมะครับ เพราะแบบนั้นก็เลยซื้อแผ่นเสียงเพลงวันคริสต์มาสแบบ LP มาฟังสองสามแผ่นครับ ผมกำลังฟังเพลงแจ๊สเก่า ๆ ของแฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) และแซมมี เดวิส จูเนียร์ (Sammy Davis Jr.) แฟรงก์ ซินาตราดูสุขุม, เท่ครับเหมือนกับไวน์เย็น ๆ ส่วนแซมมี เดวิส จูเนียร์ ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์สุดยอดเลยครับ (หัวเราะ)

  • Q: ดังนั้นนั่นก็คือนักร้องแบบที่คุณรู้สึกว่าเขาเท่สินะ

V: พวกเขาทั้งสองคนเป็นแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ให้กับผมขณะที่ผมกำลังทำเพลง “Dynamite” ครับ แฟรงก์ ซินาตรามีภาษากายที่บ่งบอกความเป็นแจ๊สทั้งหมด แต่เขาก็ใส่ความเป็นดิสโก้ลงไปในนั้นด้วยครับ และผมเคยคิดว่าถ้าหากว่าแซมมี เดวิส จูเนียร์ได้เต้นจะเป็นอย่างไร หากมีไมค์อยู่บนเวทีและเขาต้องเต้นรอบ ๆ มัน พวกเขาเป็นตัวช่วยให้กับผมได้เยอะเลยครับ ในช่วงที่ผมพยายามหาทางที่จะทำให้ตนเองดูมีเสน่ห์และเท่ไปในเวลาเดียวกันในเพลง “Dynamite”

  • Q: ฉันเดาว่าการทำเพลง “Dynamite” จะต้องเป็นการปลอบโยนอย่างหนึ่งแม้จะเป็นช่วงที่คุณไม่สามารถไปพบกับแฟน ๆ ได้เพราะโรคโควิด-19

V: เราไม่สามารถจัดคอนเสิร์ตและไม่สามารถพบกับอาร์มี่ (ARMY) ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ไร้จุดสิ้นสุดเลยครับ เราออยากจะเห็นว่าอาร์มี่รู้สึกดีขึ้น เราก็เลยต้องกลับขึ้นสู่เวทีอีกครั้งครับและทำอัลบั้มอีกหนึ่งอัลบั้มขึ้นมา เพื่อว่าเราจะสามารถเอาชนะสิ่งนี้ไปด้วยกันได้ครับ ผมอยากจะเป็นเพื่อนที่มักจะให้กำลังใจอาร์มี่เสมอ ทว่ามันไม่มีวิธีใดเลยที่จะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้ครับ

  • Q: ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับเพลง “Dynamite” เป็นอย่างไรบ้าง? คุณพามันไปอยู่บนจุดสูงสุดของชาร์ต Billboard Hot อีกทั้งยังมีโอกาสได้ทำการแสดงในหลากหลายสไตล์ด้วย

V: การถ่ายทำที่ Tiny Desk Concert เป็นการทำงานที่เป็นธรรมชาติมากครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่อันที่จริงแล้ว ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรารู้สึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้เท่าไรเลยครับ ในวันที่มีข่าวออกมา แน่นอนครับ มันน่าตื่นเต้น มันสุดยอดมากเลย ซึ่งจริง ๆ แล้ว พวกเราทุกคนเรียกหากัน บางคนก็หัวเราะ บางคนก็ร้องไห้ที่ว่า “สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้เดินทางผิด! กลายเป็นว่าเรามีโอกาส—มันเป็นไปได้จริง ๆ ด้วย!” ครับ

  • Q: ในระหว่างที่คุณกำลังแสดงเพลง “Dynamite” คุณก็ได้เป็นผู้กำกับภาพให้กับอัลบั้ม BE ด้วย ฉันมั่นใจว่าคุณคงยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปจนคาดไม่ถึงเลยละ แต่คุณก็ยังสามารถสื่อสารกับเมมเบอร์คนอื่น ๆ ได้อย่างดีใช่ไหม?

V: เราสื่อสารกันได้อย่างราบรื่นเลยครับ และผมก็ได้ฟังแนวคิดเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์ของพวกเขาทั้งหมดด้วย แล้วยังได้จัดการกับทุก ๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับส่วนนั้นด้วย ถ้าหากว่าเราพยายามที่จะทำอะไรบางอย่างให้ดูเป็นธรรมชาติจนเกินไป มันก็ดูจะไม่เพียงพอที่จะเป็นคอนเซ็ปต์ครับ ดังนั้นเราจึงทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความสมดุลครับ

  • Q: คุณให้ทุก ๆ คนนั่งอยู่ตรงกลาง พร้อมด้วยฉากที่จัดขึ้นอย่างสมมาตรรอบ ๆ ตัวคุณ

V: ที่รูปเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้ต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่มีมุมมอง, รูปแบบเป็นของตนเองครับ มันไม่ได้มีการซ้อนทับกันของสิ่งของต่าง ๆ จึงทำให้เราสามารถสร้างความรู้สึกอันเป็นเอกภาพได้ โดยการวางพร็อบที่แตกต่างกันเหล่านั้นในรูปแบบสมมาตรครับ มันไม่ได้ถูกจัดวางอย่างสมมาตรโดยเจตนานะครับ จริง ๆ แล้วเมมเบอร์แต่ละคนได้เลือกบางสิ่งบางอย่างที่มีเอกลักษณ์มาครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : ทว่าสุดท้ายแล้วก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติออกมาจากมันมากขึ้นครับ

Weverse Magazine V Pt.2

  • Q: ในห้องของคุณเอง คุณได้ใส่ไวโอลินกับภาพถ่ายเข้าไปด้วย

V: มันเป็นรูปที่ผมถ่ายเองครับ ผมชอบรูปถ่ายและรูปวาด แต่ถ้าหากว่าผมต้องใช้งานศิลป์งานใดงานหนึ่งละก็ ผมควรจะใช้งานของศิลปินที่เฉพาะเจาะจงไปเลย ฉะนั้นผมเลยคิดว่าผมใช้หนึ่งในรูปถ่ายของผมเองคงจะดีกว่าครับ ท้ายที่สุดผมก็ได้เลือกไวโอลินเพราะผมได้เรียนวิธีเล่น และรวมถึงว่าผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเพลงคลาสสิกและเพลงแจ๊สด้วยครับ

  • Q: แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับรูปที่ได้ออกมา?

V: ผมเป็นคนทำมันเอง เพราะอย่างนั้นผมต้องชอบมันอย่างแน่นอนครับ (หัวเราะ) บางส่วนในตัวผมคิดว่าผมควรจะลองทำอะไรบางอย่าง ที่มันดูมีคอนเซ็ปต์กว่านี้ BE ควรจะให้ความรู้สึกของแม็กกาซีนหรือโปสเตอร์ เพราะเราไม่ได้ถ่ายอะไรเหล่านั้นมากนัก ทว่าสุดท้ายแล้วก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติออกมาจากมันมากขึ้นครับ

แต่ผมก็คิดว่าในคราวหน้า พวกเราจะลองทำคอนเซปต์การถ่ายโฟโต้ชู้ต ที่เราควรจะเปลี่ยนจากการทำท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติแบบนั้นนิดหน่อยครับ สมาชิกในวงได้อธิบายแนวคิดของพวกเขาอย่างชัดเจน และพวกมันก็ดูเรียบง่ายมากพอที่จะทำครับ ดังนั้นผมจึงคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นจริง ๆ ครับ

  • Q: มันฟังดูเหมือนไม่มีปัญหากับการเลือกเพลงสำหรับอัลบั้ม BE รู้สึกยังไงกับการอัดท่อนของคุณในเพลงของเมมเบอร์คนอื่น?

V: ผมชอบ “Dis-ease” ที่โฮบิเป็นคนเขียนครับ แต่การร้องนั้นมันท้าทายมากเลย มันห่างไกลจากสไตล์ของผมมาก เพราะงั้นมันเลยใช้เวลานานในการสร้างความคุ้นเคยกับมัน “Fly to My Room” เคยเป็นเพลงโปรดของผมนะครับ แต่ว่ามันก็เป็นเพลงที่ร้องยากที่สุดเหมือนกัน ในตอนแรกมันก็โอเคนะครับจนกระทั่งมีจีมินเข้ามานี่แหละ

  • Q: จีมินทำไมหรอ?

V: เพราะผมต้องร้องตามจีมิน เพลงมันก็เลยกระโดดขึ้นไปอีกสามคีย์ ผมคิดว่าผมจะตายแหนะ (หัวเราะ) มันเริ่มจากการที่มันเป็นเพลงโปรดของผมครับ แต่มันแค่ร้องยากเกินไปน่ะ

  • Q: แต่ทำไมถึงต้องร้องแบบนั้นล่ะ?

V: จีมินบอกว่าเขาขอโทษที่ไม่สามารถร้องคีย์ต่ำกว่านี้ได้แล้วครับ (หัวเราะ) ตอนที่ผมได้ยินเวอร์ชั่นเดโม่ครั้งแรก ผมรู้สึกว่าคีย์นี้มันเหมาะกับผมมาก ดังนั้นผมเลยคิดว่ามันฟังดูดีมากๆและผมควรจะทำมันให้ได้เลยล่ะ แต่แล้วจีมินก็บอกว่าเขาอยากจะทำด้วย ผมก็เลยบอกว่า“ เยี่ยม! มาทำมันด้วยกันเถอะ” ปรากฎว่าเราต้องขึ้นไปสามคีย์ ผมก็เลยบอกว่า “เฮ้! ที่เราตกลงกันไว้คืออะไรอะ ฉันควรยอมแพ้ไหมเนี่ย” แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ออกมาดีครับ มันจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง (หัวเราะ)

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : ผมเขียน “Blue & Grey” ตอนที่อยู่จุดต่ำสุดของชีวิตครับ

  • Q: ผู้คนอาจจะสามารถได้ยินพาร์ทนั้นได้ดีกว่าเพราะว่ามันสูงมาก (หัวเราะ) โทนของเสียงของคุณประกอบกันกับความแตกต่างของพวกเขานั้นน่าประทับใจจริงๆ

V: ใช่ครับ แต่ทั้งหมดนั้นมันค่อนข้างลำบากนะ (หัวเราะ) แล้วคอรัสก็ยาวมากครับ ผมคิดว่ามันซ้ำกัน เท่าไหร่นะ 4 ครั้งมั้ง?

  • Q: ใช่เลย มันเหมือนกับว่าคอรัสไม่มีที่สิ้นสุด รูปแบบการโปรดิวซ์ก็มีเอกลักษณ์ด้วย ผมชอบที่อารมณ์ได้ถูกถ่ายทอดไปตลอดทาง

V: ผมเห็นด้วยครับ แต่มันยาวนานมากเลย ท่อนคอรัสมันออกมาบ้ามากเลย ราวกับว่าผมกำลังตีทำนองเพลงให้เข้าหูผู้คน (หัวเราะ) คอรัสมันก็ดีนะครับ แต่ว่าเมโลดี้ทั้งเพลงนั้นติดหูมากเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินดนตรีผมก็อินกับมันเลยครับ วิธีที่เสียงร้องรับตามจังหวะและเมโลดี้นั้นสนุกมากเลยครับ ผมก็แค่ต้องทำมันน่ะ

  • Q: คุณให้คำแนะนำอะไรกับสมาชิกคนอื่นๆ บ้างเมื่อพวกเขาร้องเพลง“ Blue & Grey” ของคุณ?

V: ผมไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำพวกเขามากนักครับ ผมบอกพวกเขาว่าคงจะดีถ้าพวกเขาสามารถคิดถึงปัญหาทั้งหมดของพวกเขาแล้วพยายามรักษาบาดแผลเหล่านั้นด้วยเสียงของพวกเขาเองเพราะถ้าพวกเขามุ่งความสนใจไปที่อารมณ์เหล่านั้นเพลงจะมีอีโมชันนอลมากขึ้นครับ พวกเขาทำได้ดีมากในการแสดงอารมณ์ที่ผมไม่สามารถทำได้

  • Q: ดูเหมือนว่าคุณตั้งใจให้ “Blue & Grey”เป็นเพลงเศร้า ได้ยินมาว่าคุณเคยวางแผนที่จะใส่มันลงในมิกซ์เทปของคุณด้วย?

V: ผมเขียน “Blue & Grey” ตอนที่อยู่จุดต่ำสุดของชีวิตครับ มันเป็นตอนที่ผมถามตัวเองว่าควรจะทำงานต่อไปหรือว่าควรหยุดดี แม้แต่งานที่สนุกสนานก็กลายเป็นงานที่น่าเบื่อและทั้งชีวิตก็รู้สึกไร้จุดหมาย “ผมจะไปที่ไหนดีล่ะ? ผมมองไม่เห็นปลายอุโมงค์ด้วยซ้ำ” ความคิดเหล่านี้ต่างก็ประเดประดังเข้ามาหาผมอย่างหนักเลยล่ะ

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : “เมื่อผมติดอยู่กับความคิดแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นสีเทาและผมก็เป็นสีฟ้าทั้งหมด”

  • Q: เหตุผลคืออะไรล่ะ?

V: มันเป็นตอนที่งานเป็นความท้าทายที่สำคัญครับ เมื่อผมมีความสุข ผมก็อยากทำงานและเมื่อผมมีความสุข ผมก็สามารถยิ้มและเห็นแฟนๆได้ แต่มันมีงานมากมายที่ผมต้องทำ ผมเป็นคนง่ายๆสบายๆ คุณก็รู้

แต่พอมันมีงานเยอะเกินไปก็เหมือนถูกดึงทึ้งแล้วผมก็เริ่มละล่ำละลัก ผมหมายความว่าผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากและก็คิดว่า “อะไรมันรอผมอยู่ที่ปลายทาง? การประสบความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งสำคัญนะครับแต่ผมก็พยายามที่จะมีความสุขด้วย แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงไม่มีความสุขล่ะ?” นั่นคือตอนที่ผมเริ่มเขียน“ Blue & Grey” ล่ะครับ

  • Q: ดังนั้นการเขียนเพลงเลยเป็นวิธีที่คุณสามารถนำพาความสงบมาสู่จิตใจได้สินะ

V: มันมีช่วงเวลาที่ผมต้องก้าวผ่านอะไรแบบนี้ครับ ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมไม่สามารถเก็บความรู้สึกเหล่านั้นให้อยู่รอบๆตัวได้ แทนที่จะเป็นแบบนั้นผมสามารถใช้มันย่อยสลายดังเช่นปุ๋ยได้

ดังนั้นผมก็เลยดูแลความรู้สึกเหล่านั้นด้วยการนำมาเขียนลงในบันทึกของตัวเอง ผมก็แค่เขียนทุกสิ่งทุกอย่างลงไป และในตอนที่ในที่สุดผมก็อยากลองเขียนเพลงดู ผมก็ได้ทำมัน และหลังจากที่เพลงเสร็จผมก็รู้สึกถึงความสำเร็จ นั่นคือตอนที่ผมรู้สึกว่าสามาถปล่อย “Blue & Grey” ออกมาได้ นั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่ผมอยากจะลองเอาชนะปัญหาดูครับ

  • Q: เพลงที่คุณแต่งหรือร้องเดี่ยวล้วนมีภาพลักษณ์ที่คล้ายกัน: กลางคืน; ความเหงา; หิมะ

V: ผมชอบช่วงเวลากลางคืนและอากาศตอนดึกและตอนที่หิมะตกด้วยครับ ผมชอบสิ่งเหล่านั้นแต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมรู้สึกว่าหิมะและอากาศยามค่ำคืนนั้นทำให้ผมมีชีวิตอยู่ มันอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตปกติของคนอื่นๆ แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่พิเศษมากครับ

  • Q: นั่นทำให้ฉันนึกถึงตอนจบของ “ Blue & Grey”เลยนะ ท่อน “หลังจากแอบส่งคำพูดของฉันขึ้นไปในอากาศ / ตอนนี้ฉันก็หลับไปในตอนรุ่งสาง”

V: ผมนอนไม่ค่อยหลับครับ ผมพลิกตัวไปมาและจมอยู่กับความคิดมากมาย แม้ว่าผมจะปิดไฟทั้งหมด ผมก็สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ผมหลับตาลง แต่ความคิดทั้งหมดของผมก็เปิดกว้าง จากนั้นผมก็ง่วงนอนในที่ทำงานและจมไปกับความคิดที่มีผมอยู่คนเดียว ผมมีถุงใต้ตา แต่ถ้าผมต้องการหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นจริงๆ ก็ต้องนอนครับ เว้นแต่ว่าตัวผมมันไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น

ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้นในท่อนแรกและท่อนที่สอง ความรู้สึกที่ว่า “เมื่อผมติดอยู่กับความคิดแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นสีเทาและผมก็เป็นสีฟ้าทั้งหมด” ผมเขียนความรู้สึกเหล่านี้ออกมาเป็นเพลงและตอนนี้ผมก็คิดถึงมันอีกครั้ง

ผมเอาชนะมันได้แล้วนะครับ รู้สึกเบาขึ้นมาก ผมส่งคำพูดของผมออกไปในอากาศและตอนนี้ผมก็หลับไปตอนรุ่งสาง คุณควรจะนอนตอนกลางคืน แต่ผมจะนอนในตอนเช้าอีกครั้ง ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ฝันดี” แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่คืนที่ดี “ผมหมดสติไปเพราะผมหมดแรง” อะไรทำนองนั้นครับ มันเป็นอารมณ์ที่ผมรู้สึกในช่วงเวลาเหล่านั้นแล้วผมต้องการแสดงมันออกมา

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : “อ่า… นี่คือความรู้สึกของผมตอนนั้นสินะ? เข้าใจแล้ว นั่นคือความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นสินะ”

  • Q: คุณคาดหวังจะได้ยินว่าผู้ชมจะรู้สึกยังไงกับการฟังเพลงนี้?

V: แทนที่จะมีคนแปลกหน้ามาบอกให้กำลังใจพวกเขา ผมคิดว่ามันจะดีกว่านะครับที่จะบอกว่า “ช่วงนี้คุณดูเศร้าซึมนะ” หรือไม่ก็ “ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้มันจะยากสำหรับคุณในการตั้งสติ “Blue & Grey” ก็เหมือนกันครับ

“ช่วงนี้คุณซึมเศร้าหรอ? ผมเองก็เหมือนกัน เราอยู่เรือลำเดียวกันนะ อยากระบายออกมาไหมครับว่าคุณรู้สึกยังไง? คุณอยากรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมล่ะ? ผมรู้ครับ แต่บางทีนะ มันก็รู้สึกเหมือนว่าคุณถูกขจัดออกไปในวงวังความเครียด” ผมอยากให้คนฟังได้ยินผมพูดแบบนี้กับพวกเขาครับ

  • Q: มันเลยสำคัญที่ต้องแสดงความรู้สึกออกไปทันทีที่รู้สึกว่ามันเอ่อล้นออกมา

V: ใช่ครับ ปกติผมเขียนเพลงเยอะมากเวลาที่มีอีโมชันนอลน่ะ แต่หลายวันมานี้ผมมีหลายสิ่งที่ต้องทำแตกต่างกันไป ผมเลยไม่สามารถเขียนอะไรลงไปได้เลยครับ ก่อนหน้านี้ผมก็พยายามเขียนอะไรสักเล็กน้อยครับเวลาที่มีเวลาว่าง แต่มันไม่มีอะไรออกมาเลยครับเพราะว่าความรู้สึกที่ผมเคยมีมันหายไปแล้ว

ผมก็เลยบอกตัวเองว่า “นายต้องเขียนเยอะๆนะเวลาที่ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาน่ะ” (หัวเราะ) แล้วผมก็เปิดแอพโน้ตและกลับไปดูโน้ตเก่าๆที่เคยเขียน แล้วก็แบบ “อ่า… นี่คือความรู้สึกของผมตอนนั้นสินะ? เข้าใจแล้ว นั่นคือความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นสินะ” ผมก็เลยเขียน “Blue & Grey” อย่างรวดเร็วเลยครับ ทันทีที่ความรู้สึกอันล้นเอ่อนี้มันมาน่ะ

  • Q: งั้นมันก็เลยสำคัญที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้งในตอนที่คุณกำลังโปรดิวซ์เพลงหรือกำลังเลือกเพลงที่จะปล่อยใช่ไหม?

V: หากคุณไม่สามารถดึงความรู้สึกกลับมาได้คุณก็ไม่สามารถสร้างเพลงได้เช่นกัน ผมปล่อยเพลงออกมาถ้าผมรู้สึกว่ามันบ่งบอกว่าผมเป็นใครและผมรู้สึกอย่างไรในตอนนั้นที่ผมเขียนมัน แม้ว่าเราจะบันทึกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากผลลัพธ์ฟังดูไม่เหมือนใคร ผมก็อยากจะปล่อยเพลงอื่นที่ฟังดูจริงใจกว่านี้แทนแม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตามครับ

  • Q: เพลงเหล่านั้นคุณเลือกไว้สำหรับมิกซ์เทปของคุณใช่ไหม?

V: อืม …ไม่รู้สิครับ นี่เป็นมิกซ์เทปแรกของผมคุณก็รู้ ดังนั้นผมเลยรู้สึกกดดันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะทำอัลบั้มแบบไหนเพื่อที่ผมจะได้รู้สึกพอใจกับมัน เพลงไตเติ้ลก็เป็นเพลงไตเติ้ล แต่ทุกคนก็บอกว่าให้ปล่อยมันไว้อย่างนั้น แต่ผมก็ยังคงได้รับการกระตุ้นให้ใส่มันลงมากขึ้นเรื่อยๆเลยครับ

  • Q: คุณมักจะเขียนและเลือกเพลงตามอารมณ์ของคุณ บางทีแรงกดดันในการสร้างมิกซ์เทปแรกของคุณอาจมาจากการที่คุณมีปัญหากับสิ่งนั้น

V: ผมคิดว่ามันยังมีหนทางอีกยาวไกลครับ อาจเป็นเพราะมันเป็นมิกซ์เทปแรกของผม แต่มันยากมาก และผมรู้สึกว่ามันขี้เกียจเล็กน้อยน่ะ ผู้คนบอกให้ผมปล่อยมันออกและดูว่ามันเป็นอย่างไร แต่ผมอยากรู้ว่าต้องแก้ไขอะไรก่อนที่จะปล่อยมันออกมา ผมไม่อยากให้เพลงไตเติ้ลมันดูหดหู่ ผมต้องการให้มันเป็นเพลงในแง่บวกและช่วยให้ผู้คนเอาชนะความรู้สึกหดหู่เหล่านั้นได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ

  • Q: ฟังดูคล้ายกับสิ่งที่สมาชิกถ่ายทอดออกไปด้วยเพลง “Life Goes On” เลยนะ

V: ผมคิดว่าเราแสดงสถานการณ์ปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์มากเลยนะครับ เรายังคงใช้ชีวิตต่อไปและมันยากครับ แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้นะ ผมหวังว่าเราจะกลับมาอยู่กับ ARMY และหัวเราะไปด้วยกัน หวังว่าเราทุกคนจะมีความสุขในอนาคตและพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อวยพรให้กับความหวังของเราเพื่ออนาคตที่มีความสุขครับ

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> อนาคต ความฝัน วงBTS

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เกมออนไลน์

>>>>> แทงบอลออนไลน์