Hidden Track BTS

Hidden Track BTS ความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ในบทเพลงของบังทัน

Hidden Track BTS ความเจ็บปวดและความรู้สึกของพวกเขาที่ซ่อนไว้ในบทเพลงของบังทัน

Hidden Track BTS 2017 เรียกได้ว่าเป็นปีที่บังทันประสบความสำเร็จ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน สถิติ และข่าวดีต่างๆที่มีให้เห็นแทบทุกวัน แฟนเพลงและแฟนคลับที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้สนใจในตัวของศิลปินกลุ่มนี้ ก็คือตัวเพลงที่พวกเขาพยายามถ่ายทอดออกมา ในภาษาของตัวเองนั่นแหละ

เพลงของบังทันส่วนใหญ่ จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา จับต้องได้ ทั้งเรื่องความสุข ความเจ็บปวด ความไม่ถูกต้องในสังคม รวมถึงการแสดงออกถึงความรัก (รักผู้คน รักครอบครัว รักบ้านเกิด) ไม่ยากเลยที่จะสามารถซื้อใจคนที่ได้ฟัง เพราะมันง่ายที่จะเข้าถึง คนทั่วไปก็มักจะผ่านจุดที่เพลงของบังทันเล่าเรื่อง หรือไม่ก็อาจจะกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอยู่

ภายใต้ความมั่นใจ ความแข็งแกร่งในการเล่าเรื่องผ่านเพลง ที่ออกมาให้เราได้ฟังกัน ก็ยังมี Hidden Track ที่ซ่อนความกลัว ความว้าเหว่ ความไม่มั่นใจของพวกเขาอยู่ลึกๆ บังทันต้องการสื่อสารความเจ็บปวดนี้ กับคนที่เขาต้องการให้รับฟังเท่านั้น นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เลือกแสดงด้านอ่อนไหวไว้ใน Hidden Track

– Path – Hidden Track BTS จากอัลบัม 2 cool 4 Skool 

เพลงส่วนใหญ่ของบังทัน จะเป็นเพลงที่พูดคุยกับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมา และเพลงนี้เป็นเพลง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากปัจจุบัน (ณ ช่วงเวลาทำเพลง) ที่มองย้อนกลับไปในอดีต ว่าเส้นทางที่เลือกเดินนั้น มันใช่สิ่งที่คิดหรือเปล่านะ ถ้าย้อนกลับไปเราจะเลือกเดินบนเส้นทางนี้หรือไม่ แล้วในอนาคต ตัวเราจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหน ตัวเพลงแสดงออกชัดเจนถึงความอ้างว้าง ความไม่มั่นใจ ได้แต่พูดกับตัวเองว่า เราเลือกถูกแล้วแหละ ทำมันต่อไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆดีกว่า

ไม่ใช่แค่พาร์ทเนื้อร้อง ที่เนื้อหาหนักหน่วงและกระแทกความรู้สึก แต่พาร์ทดนตรีก็ทำได้ดีมากเช่นกัน ดีจนเราคิดว่าจังหวะ เมโลดี้ของเพลงนี้ถ้าไม่ได้เป็น Hidden Track คงเป็นอีกเพลงที่ดนตรีติดหูได้ง่ายๆเลย และมีเสียงของโวคอลไลน์ ที่ร้องประสานไปกับการแรปที่หนักหน่วง ยิ่งเพิ่มความมีมิติของเพลงนี้ ให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย

พอกลับมาอ่านความหมายเพลงนี้อีกครั้งในวันนี้ รู้สึกอินกว่าครั้งแรกที่ฟังอีก บังทันเหนื่อยมามากจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็ไม่ยอมแพ้กันเลย ซื่อสัตย์กับความคิดของตัวเอง เป็นพลังเติมเต็มให้กันและกันในกลุ่ม และตอนนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ทางที่บังทันเลือกเดินมันถูกต้องแล้วจริงๆ

-Sea- จากอัลบัม Love Yourself : Her

เพลงนี้เรารู้สึกอินตั้งแต่ฟังครั้งแรก รู้สึกถึงความกลัวอยู่ลึกๆที่ออกมาจากเพลง แต่สิ่งที่ชอบมากที่สุดคงเป็นพาร์ทดนตรี เป็นเพลงที่รับรู้ถึงสเกลเพลงที่ใหญ่มาก แม้จะเริ่มต้นด้วยเสียงกีต้าร์เสียงเดียว แต่ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ตั้งแต่เริ่มต้นเพลง บวกกับท่อนฮุกของเพลงที่เหล่าโวคอลไลน์ร้องออกมาได้อย่างเหงาๆ ความใหญ่ของพาร์ทดนตรีเราคิดไปด้วยซ้ำว่าแทบจะเอาไปทำเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ได้เลย

Sea ถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และเตรียมตัวรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากคาเฟ่หรือบทสัมภาษณ์ที่นัมนุมแชร์เรื่องราวให้เราได้รับรู้ หลายครั้งที่เขาบอกอยู่เสมอว่าความสำเร็จในวันนี้อาจเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความสำเร็จก็เหมือนฟองสบู่ที่ลอยขึ้นสู่ที่สูง แต่ก็แตกกระจายได้อย่างง่ายดาย ความสำเร็จก็เหมือนกับการขึ้นภูเขาสูง กว่าจะขึ้นต้องใช้เวลาและพละกำลังมากมาย แต่พอตกจากที่สูงก็กลับตกลงมาอย่างง่ายดายและรวดเร็ว

เพลงนี้รู้เลยว่าน้องโตขึ้นมาก ทบทวนกับตัวเองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่หลงไปกับความสำเร็จ รวมทั้งมีสติอยู่กับปัจจุบัน เป็นอีกเพลงที่เราฟังแล้วค่อนข้างรู้สึกเจ็บปวดนะ หน่วงๆเลยหล่ะ ทั้งดนตรีแล้วก็เสียงร้อง มันดึงให้เรารู้สึกดิ่งๆ เป็นเพลงที่ฟังบ่อยไม่ค่อยได้ รู้สึกน้ำตามันจะไหลออกมายังไงก็ไม่รู้

Paradise – ด้วยเรื่องคนไม่มีความฝัน

เพลงนี้ชื่อว่า ‘낙원’ หรือว่า ‘paradise’ เพลงนี้แต่งโดย มินยุนกิ หรือ ชูก้า แรปเปอร์และโปรดิวเซอร์คนเก่งของ BTS ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม ‘LOVE YOURSELF 轉 Tear’ สำหรับเรา เราชอบเพลงนี้มากๆอาจเป็นเพราะเราเป็นคนนึง ‘ที่ไม่มีความฝัน’ ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรในอนาคต ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆกันแน่

“คนที่ไม่มีความฝันทุกคน
ไม่เป็นไรนะ ถ้าเราไม่มีความฝัน
ก็แค่ต้องมีความสุขเท่านั้นก็พอ”

ท่อนที่เราอยากจะพูดถึงคือท่อนแรปของ คิมนัมจุน หรือ RM

‘มันไม่เป็นไร ถ้าชื่อของความฝันมันแตกต่าง
เดือนหน้า ซื้อแล็ปท็อปสักครั้ง
หรือแค่กินและนอน
ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็ยังมีเงินมากมาย
ใครบอกกันว่าความฝันจะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่
เราสมควรได้รับรู้ถึงชีวิต
แค่เป็นใครสักคน
ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ คุณก็คือคุณ’

และท่อนแรปของ มินยุนกิ หรือ ชูก้า นั่นเอง

‘ผมไม่มีความฝัน
การมีความฝัน บางครั้งมันก็น่ากลัว ก็แค่ใช้ชีวิตอยู่แบบนี้
แค่มีลมหายใจ นี่คือความฝันเล็กๆ ของผม
เพื่อที่จะมีความฝัน เพื่อที่จะคว้าความฝัน เพื่อหายใจ บางครั้งมันก็เหนื่อยเกินไป’

“เพลงนี้เหมือนช่วยเยียวยาจิตใจเราว่า คงไม่เป็นไรหรอก คนเราก็มีความฝันที่แตกต่างกันไป ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แค่บางคนเจอความฝันของตัวเองเร็วกว่าคนอื่น สักวันเราก็คงเจอความฝันของตัวเองสักวันเหมือนกัน”

ยิ่งมาเจอกับ outro ที่บอกว่า

‘หยุดวิ่งอย่างไร้จุดหมายเถอะนะ
ตอนนี้ หยุดการวิ่งแบบเปล่าประโยชน์เถอะ’
‘หยุดวิ่งอย่างไร้จุดหมายเถอะนะ
คุณไม่จำเป็นต้องฝันแบบที่คนอื่นฝัน’

เพลงๆนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้เจอกับปัญหานี้แค่คนเดียว เรารู้ว่าหลายๆคนพอได้ยินคำว่า K-POP ก็รู้สึกไม่อยากที่จะฟัง จะอ่าน หรือให้ความสนใจใดๆ แต่ถ้าทุกคนลองเปิดใจ เพลงบางเพลงก็ช่วยเยียวยาจิตใจเรา ได้เหมือนเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน หนึ่งในเหตุผลที่ชอบฟังเพลงวงนี้ คงเป็นเพราะเพลงที่ถูกแต่งและกลั่นกรองออกมาจากจิตใจลึกๆ และความรู้สึกของคนๆนึง เหมือนกับเพลงๆนี้ ‘낙원’ หรือ ‘paradise’

Silver Spoon – แด่ความยุติธรรมที่เราตามหา

เพราะการเมืองแทรกซึมอยู่ในทุกสิ่ง ใครจะรู้ว่าเพลงที่ฟังแล้วโยกหัวอยู่ทุกวันนี้ แท้จริงแฝงด้วยเนื้อหาที่ลึกล้ำ

สืบเนื่องด้วยกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ มีการจัดม็อบประท้วงผ่าน Pop Culture ต่าง ๆ ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือทวงคืนเสรีภาพบนพื้นฐานประชาธิปไตย รวมถึงประเด็นถกเถียงว่าด้วยการตีความหนังสะท้อนสังคมอย่าง Parasite

วันนี้จึงขอหยิบยกเพลง Silver Spoon ของ BTS หรือที่รู้จักกันในนาม แบบเซ (뱁새) มาแปลและพูดถึง ในฐานะที่เป็นอีกหนึ่ง Pop Culture ที่อัดแน่นด้วยการเมือง ฟังแล้วอาจจะรู้สึกตรงกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว

เริ่มจากชื่อเพลง
ภาษาอังกฤษใช้ชื่อทางการว่า Silver Spoon หรือช้อนเงิน โดยเป็นการพูดถึงชนชั้นอันได้แก่ ช้อนทอง ช้อนเงิน ช้อนดิน แบ่งตามฐานะ โดยชื่อเพลงนี้แปลเป็นไทยได้ว่า คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด นั่นก็คือคนที่เกิดมามีสถานะทางสังคมสูง ต้นทุนชีวิตเยอะกว่านั่นเอง

ส่วนภาษาเกาหลี 뱁새 แปลว่านกกระจอก มาจากสุภาษิตที่ว่า [ 뱁새가 황새를 따라가면 다리가 찢어진다 ] = เมื่อนกกระจอกคิดเดินอย่างนกกระสา ขาจะต้องฉีก
แสดงถึงการทำอะไรเกินตัว เพราะนกกระจอกเกิดมามีขาสั้น หรือเปรียบเหมือนคนที่มีกำลังและอำนาจน้อยกว่าพวก “นกกระสา” ซึ่งเป็นนกที่เกิดมามีขายาว
โดยเพลงนี้เดิมทีจะจุดประเด็นความไม่เท่าเทียมในสังคม และสมดุลอำนาจ ของคนที่อยู่เหนือกว่า หรือคนที่เป็นเจนเบบี้บูมเมอร์ กับคนที่เสียเปรียบ และ “เกิดทีหลัง” ค่ะ 🙂

พวกเขาเรียกฉันว่า นกกระจอก
พวกคนรุ่นเราที่ถูกก่นด่า
เร็วเข้า รีบไล่ตามพวกนั้นไป
พวกนกกระสา เล่นเอาขาฉีกเลย

เรียกฉันว่านกกระจอก
พวกคนรุ่นเราที่ถูกก่นด่า
เร็วเข้า รีบไล่ตามพวกนั้นไป
พวกท่าน ๆ ทั้งหลายที่คาบช้อนเงินมาเกิด

✏︎ ท่อนนี้ตรงกับสุภาษิตที่กล่าวไว้ด้านบน
이 세대 หรือ This generation ในที่นี้หมายถึงคนเจนใหม่ Gen Y Gen Z ที่ต้องถูกก่นด่า ตีตราว่าเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด คือคนที่อยู่บนหอคอยงาช้าง มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่ต่อให้วิ่งไล่ตามก็ยากจะตามทัน

ทำงานพิเศษก็เจอค่าประสบการณ์
ไปโรงเรียนก็เจอครู
พวกเจ้านายมาพร้อมการกดขี่
คนรุ่นใหม่กับการยอมแพ้ หัวข้อที่โผล่ในสื่ออยู่ทุกวัน

✏︎ 열정페이 แปลเป็นอังกฤษคือ Passion Pay พูดอีกอย่างคือ แทนที่จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นค่าประสบการณ์ ค่าแพชชันแทน โดยมองว่าให้โอกาสเด็กมาเรียนรู้

몇 포 세대 มาจาก N가지를 포기한 세대 ค่ะ เคยโผล่อยู่ในเพลง Dope (ซัม โพเซเด / โอ โพเซเด)
3포 세대, 5포 세대 ตอนนี้มีไปถึง 10포 세대

แปลว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จำต้องละทิ้งสิ่ง 3 สิ่ง/ 5 สิ่ง / 10 สิ่ง ในชีวิตไป อันได้แก่ คนรัก การแต่งงาน การมีลูก บ้าน อาชีพ ไปจนถึง ความหวังและงานอดิเรก เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยค่าใช้จ่ายสมัยนี้ที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งสังคมชายเป็นใหญ่ของเกาหลี การที่ผู้ชายขัดสน จะถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการเป็นหัวหน้าครอบครัว หรือกระทั่งไม่สามารถหาแฟนได้ เพราะชีวิตยังไม่มั่นคงพอ

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS World Tour

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เกมออนไลน์

>>>>> UFABET