BTS Proof V แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof V แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof V แปลบทสัมภาษณ์ของวีในนิตยสาร Weverse magazine เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่จะมาเจาะลึกในการคัมแบคครบรอบ 9 ปีของวง BTS การทำเพลง / อัลบั้ม และเรื่องราวการเติบโตของเมมเบอร์ และบทบาทและมุมมองของโวคอลวง BTS และวิชวลของวงอีกคนด้วย

BTS Proof V : ” ดังนั้นผมกลัวว่าเราจะทํามันพัง เลยจบด้วยการแสดงมันไปแต่เราก็ทําได้ดี และกระแสตอบรับก็ยอดเยี่ยม”

BTS Proof V

Q: คุณได้ถูกพาดหัวข่าวเพราะบทสนทนาของคุณกับ Olivia Rodrigo ในการแนะนําการแสดงเพลง “Butter” ของคุณที่งาน Grammy Awards ผมเดาว่าหลายคนถามถึงสิ่งที่คุณสองคนคุยกัน ผมว่ามันคงเป็น เรื่องยากที่จะพูดคุยจริงจังภายใต้สถานการณ์แบบนั้น

V: ผมถูกถามเรื่องนี้เยอะมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะการแสดงที่ใช้เสื้อผ้า เสียงกระซิบเบา ๆ ที่หูของเธออาจจะเพียงพอแล้วในสถานการณ์นั้น แต่ผมว่าผมแค่พูด “บลา บลา บลา” ไม่ใช่อะไรจริงจังในช่วงเวลานั้น ผมคิดแค่แสดงสีหน้าหรือสร้างสถานการณ์ ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ Olivia Rodrigo รู้ว่าตอนนั้นผมกําลังทําอะไรเช่นกัน ช่วงเวลาแค่ 10 หรือ 15 วินาที ผู้แสดงไม่จําเป็นต้องพูดอะไรเป็นพิเศษและยังคงทําให้มันดูน่าสนุกได้อีกด้วย

Q: ผมเข้าใจดีว่าการแสดงของแกรมมี่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แล้วคุณมาร่วมแสดงกับ Olivia Rodrigo ได้อย่างไร?

V: อ่า นั่นเป็นข้อเสนอแนะจากทีมงานแกรมมี่และทําข้อตกลงกันวันงานเลยครับ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางรู้ว่าผมจะได้นั่งข้างใคร

Q: ในสถานการณ์เช่นนั้น คุณคงต้องจัดการทุกอย่างและเตรียมพร้อมทันที

V: ผมเอาแต่นึกถึงหนัง Now You See Me วิธีการแสดงบนเวทีที่ค่อยๆเผยออกมาทําให้ผมนึกถึงเจสัน บอร์น แต่สําหรับการพูดกับ Olivia Rodrigo ผมคิดว่าการทําให้เหมือนการหลอกล่อผู้คนขณะพูดคุยกับพวกเขาใน Now You See Me เป็นสิ่งสําคัญมาก ผมคิดว่าอยากพูดกับเธอปกติแล้วคงเหมือนเวทมนตร์ถ้าผมสามารถขโมยการ์ดของเธอโดยที่เธอไม่รู้ และมันจะออกมาเป็นอย่างไรถ้าเราสบตากันแบบสนุกสนาน อะไรแบบนั้น

Q: คุณต้องแสดงและโยนไพ่ก่อนที่เพลงจะเริ่มแล้วขึ้นไป แสดงบนเวทีคงจะมีเรื่องมากมายที่คุณต้องคิด

V: ครับ ถ้าเรายังคุยกันต่อผมคงโยนการ์ดไม่ทันกาล ตอนนั้นผมนั่งนับจังหวะในหัวตลอดและดูว่าจะโยนตอนไหน ผมนับหนึ่ง สอง สาม สี่ ในใจ และการจะรู้ว่า Olivia Rodrigo พูดอะไรคงยากเพราะมีอินเอียร์ในหูทั้งสองข้าง บอกตามตรงผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมกลัวจะเต้น dance break ที่ใช้เสื้อผ้าไม่ได้ และมันคือสิ่งที่ผมเอาแต่พูดก่อนที่จะขึ้นเวที เรามีแค่ 2 วันก่อนที่จะในการซ้อมให้ถูกก่อนแสดงบนนั้นด้วยกัน ดังนั้นผมจึงกังวลเรื่องนั้นมากกว่าสิ่งอื่นใด

Q: เป็นการแสดงที่ถึงแม้ตอนซ้อมจะได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าตอนแสดงสดจะดี

V: ใช่ครับ ผมกังวลมากจริงๆ ตอนแรกผมค้านการแสดงส่วนนั้นด้วย และตอนซ้อมก็ทําได้ไม่ดีกันและเรารู้กันดีว่าเราควรจะขึ้นไปบนเวทีด้วยความมั่นใจ แต่เราขึ้นไปที่นั่นด้วยความรู้สึกประหม่า ดังนั้นผมกลัวว่าเราจะทํามันพัง เลยจบด้วยการแสดงมันไปแต่เราก็ทําได้ดี และกระแสตอบรับก็ยอดเยี่ยม (หัวเราะ)

Q: มีความกดดันมากมายก่อนการแสดงนั้น ตอนแสดงเสร็จคุณรู้สึกยังไง?

V: ในที่สุดก็จบลงแล้ว (หัวเราะ) ผมควรจะไปดูการแสดงของศิลปินคนอื่นและสนุกกับช่วงเวลา นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิด

Q: คุณพูดถึงเลดี้ กาก้าใน V LIVE ด้วย

V: ผมดูวิดีโอที่ Lady Gaga และ Tony Bennett แสดงด้วยกันเยอะมาก Tony Bennett เป็นหนึ่งในนักดนตรีแจ๊สที่ผมชื่นชอบ และผมก็ชอบวิธีที่ Lady แสดงเพลงแจ๊ส ผมเลยพูดกับเธอว่าผมเป็นแฟนตัวยงและชอบฟังเพลงของคุณมากและรู้เลยว่า ว่าคุณคือราชินีเพลงแจ๊สในยุคนี้

V : “ผมสามารถโชว์สไตล์ส่วนตัวของผมในนั้น ไม่ได้คิดว่าต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง”

BTS Proof V

Q: ช่วงนี้คุณอินเพลงแจ๊สมากขึ้น? ผมรู้ว่าคุณฟังเพลงแจ๊สมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมอยากรู้ว่าตอนนี้มีอะไรที่ทําให้คุณชอบมันมากกว่าที่เคยไหม

V: ถ้าคุณชอบอะไรเป็นเวลานานความชอบมักจะเพิ่มมากขึ้น และเวลาทําผมชอบอะไรจะลงเอยด้วยการทําสิ่งนั้น ผมโตมากับการฟังเพลงแจ๊สมากมายซึ่งผมรัก เลยและรู้สึกว่ามันเป็นสไตล์ดนตรีที่ผมอยากทําตอนนี้

Q: เมื่อดูสิ่งที่คุณโพสต์บน Instagram มันให้ความรู้สึกความแจ๊สแบบเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอที่คุณเต้นอย่างไม่กังวลหรือรูปภาพที่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน

V: ผมเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด มันเป็นสไตล์ส่วนตัวของผม ผมว่ามันไม่จําเป็นต้องโพสต์อะไรแบบนี้ในแอคกลุ่มเพราะมันเป็นสไตล์ส่วนตัวและชีวิตส่วนตัวของผม แต่ตอนมีไอจีตัวเองก็ไม่รู้จะโพสต์อะไรเหมือนกันครับ (หัวเราะ) ผมก็เลยตัดสินใจโพสต์สิ่งที่ชอบ ผมสามารถโชว์สไตล์ส่วนตัวของผมในนั้น ไม่ได้คิดว่าต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง

Q: มีการคุมโทนรูปหรือวิดีโอที่โพสต์ไหม ทุกโพสต์ให้ความรู้สึกที่สอดคล้องกันมาก

V: ไม่ครับ ผมแค่ถ่ายอะไรที่อยากถ่าย ผมไม่มีความสามารถในการรวมภาพลงแบบเจ๋งเหมือน Hobi ทํา และไม่สามารถแสดงความรู้สึกของตัวเองอย่างสม่ำเสมออย่างที่นัมจุนทํา แต่ละวันมันไม่เหมือนกัน ไม่ว่าผมจะรู้สึกดีในวันนั้นหรือมีบางอย่างที่ผมอยากโชว์ มันขึ้นอยู่กับวันนั้นผมเป็นยังไง ว่าวันนั้นผมทําอะไรทุกอย่างที่โพสต์มันขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

Q: ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณชอบแจ๊ส (หัวเราะ)

V: มันเป็นดนตรีที่อิสระไม่มีอะไรที่วางแผนไว้เลยทําให้ผมชอบ

Q: ผมก็ยังคงคิดรูปถ่ายของคุณมีอะไรพิเศษอยู่ดี ตัวอย่างเช่น ภาพเซลฟี่ที่คุณถ่ายขณะแต่งหน้าก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนการถ่าย photo shoot เหมือนกําลังเก็บช่วงเวลาคูลๆ ผมอยากรู้ด้วยว่าคุณแต่งภาพเซลฟีของคุณด้วยฟิลเตอร์หรืออย่างอื่นอย่างไรเพื่อให้ได้ลุคนั้น

V: ฟิลเตอร์? ผมไม่ใช้ฟิลเตอร์ครับ แค่ถ่ายด้วยกล้องรุ่นเก่าใน Galaxy โทรศัพท์ Samsung (หัวเราะ) และผมไม่แต่งภาพด้วย เพราะถ้าทํามันจะไม่ใช่แนวผมแล้ว ผมมักจะถ่ายรูปแล้วไม่แต่งอะไรเลย ยกเว้นปรับโทนสีเวลาอยากให้เป็นภาพขาวดํา นั่นเป็น สิ่งเดียวที่ผมทํา

Q: คุณมีกลิ่นอายที่แน่นอน ถึงแม้คุณแค่กําลังถ่ายรูปในตอนนั้น

V: ครับ ผมถ่ายแบบไม่คิดอะไรผมแค่เปิดกล้องและถ่ายรูปเวลามีฉากสวยๆ หรืออะไรที่จะถ่ายออกมาได้ดี ผมแค่ถูกชอบถ่ายรูปและถ่ายรูปด้วย

Q: คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเล่นกอล์ฟในแง่นั้น? มันเป็นกีฬาที่มีเวลารอระหว่างการเล่นแต่ละครั้งแต่ก็มีช่วงเวลาที่คุณต้องมีสมาธิ

V: ผมไม่เคยชอบตีกอล์ฟมาก่อน มันรอนานกว่าจะตีลูกและมันขึ้นกับวงสวิงครั้งเดียว พูดตามตรงผมเป็นคนที่ด้นสดทุกอย่าง ผมไปเจอหนังเรื่องที่ Shia LaBeouf แสดงเรื่อง Greatest Game Ever Played ภาพยนตร์เรื่องนั้นยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้ทําให้ผมรู้จักเสื้อผ้า บรรยากาศ และทุกอย่างในคราวเดียว แล้วผมก็ซื้อรองเท้ากอล์ฟวันต่อมาเลยครับเวลาอยากทําอะไรผมมักจะทําเลย ผมรู้ว่าคนก็แค่พูดเพราะอยากให้มันฟังดูดี แต่ผู้คนบอกว่าผมเล่นเก่งและมันทําให้ผมตื่นเต้น (หัวเราะ) และหลังจากที่ผมเริ่มเล่น ผมสังเกตเห็นว่ากอล์ฟมีอารมณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งดีมากจริงๆ

V : “ผมคิดว่ามันน่าสนใจที่ได้เห็นคนสร้างภาพจําของผมในจินตนาการแบบต่างๆ จากสิ่งที่ของผมแสดงออกมา”

Q: การดูหนังและการค้นหาแรงบันดาลใจจากมันดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของคุณ จากที่คุณพูดก่อนหน้านี้คุณได้รับอิทธิพลจากหนังเรื่องการแสดงและสามารถแสดงมันออกมาในรูปแบบต่างๆ

V: จริงครับ มันเป็นหนังของคุณ ผมคิดเรื่องการหยิบยืมเรื่องในหนังมาใช้ตอนอินโทรการแสดง ผมอยากให้แค่ละคนที่ดูผมแสดงตีความในแบบตัวเอง ผมชอบความอิสระที่ทําให้แต่ละคนมีความเห็นต่อการแสดงของผม ผมคิดว่ามันน่าสนใจที่ได้เห็นคนสร้างภาพจําของผมในจินตนาการแบบต่างๆ จากสิ่งที่ของผมแสดงออกมา

Q: ถ้าชีวิตคุณเป็นหนังจะเป็นหนังแนวไหน?

V: ผมหวังว่าผมจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกอิสระของผมได้ – ความอิสระของผม ความหมายของคําว่า อิสระของแต่ละคนไม่เหมือกันแต่สําหรับผมมันอิสระกว่าของคนอื่นหน่อย ผมอยากให้หนังของผมสื่อถึงความรู้สึกอิสระนั้นได้ในคราวเดียว

Q: ผมคิดว่าผู้คนยอมรับรูปแบบความอิสระของคุณในระดับหนึ่งแล้ว วิธีการที่คนมองเพลงของคุณเปลี่ยนไปหลังจาก “Blue & Grey” และ “Christmas Tree” ปล่อยมา และผมรู้สึกว่าผู้คนเข้าใจภาพที่คุณอยากสื่อ เมื่อพิจารณาจากฉากที่สองที่เพลงนี้ปรากฎ

V: ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นคิดยังไงกับเพลงของผม เพราะผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับเขา ผมไม่ได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง ผมคงต้องออกเพลงเดี่ยวมาอีกเพื่อที่จะรู้ผมว่าแบบนั้นผมจะได้รู้จริงๆว่าอะไรรออยู่ข้างหน้าจากแนวทางการใช้เสียงของผมและท่าทางที่ควรใช้

Q: คุณทําเพลงมาเยอะ ไม่อยากปล่อยออกมาบ้างหรอ ครับ?

V: ผมเก็บเพลงพวกนั้นไว้และกําลังเขียนเพลงใหม่ ผมว่าตอนนี้ผมเริ่มเขียนเพลงเก่งแล้ว (หัวเราะ)

Q: คุณมีวิธีเลือกเพลงที่เก็บไว้กับเพลงที่ปล่อยไหม?

V: ไม่รู้สิ ปล่อยตามอารมณ์ที่อยากละมั้งครับ น่าจะเลือกเพลงที่ชอบตอนทําและยังชอบอยู่ตอนมาฟังอีกครั้ง

Q: คุณต้องชอบทั้งในตอนนั่นและตอนนี้ด้วยเหรอ? มันดูตั้ง เกณฑ์สูงไปไหมครับ? (หัวเราะ)

V: ผมไม่เสียดายเลย ผมแค่บอกตัวเองเพลงต่อไปต้องดีกว่าเดิมละเริ่มทํา ผมอยากจะซื่อตรงกับตัวเองต่อเพลงที่ผมทํา ถ้าผมรู้สึกเสียดายเมื่อไหร่ผมจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ปล่อยเพลงแม้จะไม่พอใจกับมันก็ตามและจะไม่สามารถทําอัลบั้มเพลงของผมเสร็จตามที่คิดไว้

Q: บางครั้งที่ตัวพื้นฐานของเพลงเปลี่ยนไปขณะทําไหม? ถ้าพูดถึงการสื่ออารมณ์เพลงคุณให้ความรู้สึกคล้ายกันแต่การเรียบเรียงของคุณและองค์ประกอบเพลงค่อนข้างละเอียดมากขึ้น

V: ผมว่าผมพยายามทําให้เพลงดูสมบูรณีมากขึ้น เหมือนความสมบูรณ์ของโทนเสียงหรือท่วงทํานอง เหมือนผมมาถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าคุณได้ฟังเพลงทั้งหมดที่ผมทําตั้งแต่ต้นจนจบตามลําดับ ผมหวังว่าคุณจะสามารถบอกได้ว่าทั้งเสียงของผมและบรรยากาศทั้งหมดของเพลงค่อยๆสื่ออารมณ์อย่างมีพลังมากขึ้น เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ผมอยากทําให้สําเร็จ

Q: มีเวอร์ชันของ “Spring Day” ใน Proof ที่คุณเขียนเพลง คุณเริ่มเขียนเพลงมานานไหม ทําสําเร็จไหม?

V: ประมาณสองหรือสามปีแล้ว แต่ผมมักจะเขียนตอนอยากทํา ดังนั้นผมสามารถทําเพลงหนึ่งได้ทุกๆห้าเดือนหรือหนึ่งปี

Q: เป็นหนึ่งในงานเพลงก่อนหน้าของคุณและยังค่อนข้างแตกต่างจาก “Spring Day” เวอร์ชันที่ปล่อยออกมา

V:ครับ “Spring Day” เป็นเพลงป๊อปบัลลาดแรกของเรา เลยคิดว่าจะเขียนออกมาได้ และเขียนออกมาเยอะมาก โปรดิวเซอร์ทุกคนที่ผมทํางานล้วนบอกว่าพวกเขาชอบมัน และทางค่ายก็ชอบมันมากด้วย และถึงกับพูดแหย่ด้วยว่า เราอาจจะใช้เวอร์ชันของคุณ … แต่ เพลงมันหลุดจากการทําเพลงในวันต่อมา (หัวเราะ)

V : “ผมแค่พยายามสร้างและแสดงเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผมสามารโชว์ได้ในฐานะ V”

Q: การฟัง “Spring Day” ฟังดูทั้งเหมือนและแตกต่างจากสไตล์ของคุณ มันออกแนวป๊อปและ upbest กว่าเพลงบางเพลงที่คุณทําในทุกวันนี้ แต่เพลงก็ยังมีแรงดึงดูดที่คุณมักจะมีในเวลาเดียวกัน

V: ผมคิดว่านั่นเป็นเมโลดี้เดียวที่ผมทําให้กับเพลงนี้ได้ เหตุผลก็คือตอนได้ฟังธีมของ “Spring Day” ความคิดของผมเกี่ยวกับวันฤดูใบไม้ผลิคือท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งหลังจากความหนาวเหน็บและเศร้าโศก ให้ความรู้สึกเกมือนเรากําลังจะมีวันที่ดีอะไรทํานองนั้น ดังนั้นผม จึงต้องการให้เมโลดี้ฟังดูร่าเริงมากกว่าสิ่งที่คิดในตอน แรก นั้นคือที่มาครับ

Q: ย้อนกลับไปในตอนนั้นคุณยังคงซื่อสัตย์กับการตีความเพลงของวงตอนทําเพลง

V: ครับและนั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่ทํานองที่นัมจุนเขียนไอเดียมันมีอยู่ก่อนหน้าของผม: ก่อนที่ท้องฟ้า จะแจ่มใส หรือตอนยังเป็นฤดูหนาวอยู่ สิ่งที่เขาคิดกับของผมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับและผมก็คิดว่า ว้าว ผมไม่เคยคิดว่าวันฤดูใบไม้ผลิจะถูกตีความแบบนั้นได้ เมื่อเทียบกับ “Spring Day” ในแบบผม นัมจุนได้คิดไปไกลกว่านั้นอีกขั้นหนึ่งเพลงของเขาทําให้ผมตะลึง/สับสนจริงๆ (หัวเราะ)

Q: คุณคิดว่าลักษณะส่วนตัวของคุณ เช่น ความร่าเริง เข้ากับเพลงของ BTS อย่างไร? ผมรู้สึกประทับใจในลักษณะเอกลักษณ์ของคุณและแนวทางของเพลงที่วงตั้งใจจะสื่อนั้นเข้ากันได้ดียิ่งขึ้นในเพลงใหม่ใน Proof

V: ผมคิดว่าเสียงของผมในเพลงของ BTS และในเพลงเดี่ยวไม่ควรเหมือนกันนั่นอาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวผมที่ผมสามารถอวดได้แต่มันก็ใช้เป็นเครื่องมือในทางปฏิบัติได้เหมือกัน ผมชอบสร้างตัวละครต่างๆ ให้ตัวเอง คุณอาจสามารถมองว่ามันเป็นบุคลิกส่วนก็ได้

Q: คุณช่วยบอกผมเกี่ยวกับบุคลิกของคุณใน BTS หน่อยได้ไหม?

V: ผมว่ามันไม่สามรถนิยามมันด้วยวลีเดียวได้ ถ้ามองผมเป็นต้นไม้ คงบอกได้ว่าผมมีหลายกิ่งก้านสาขา ความแตกต่างของผลไม้แต่ละอันบนกิ่งพวกนั้นแสดงจุดดึงดูดที่แตกต่างกันของ V ดังนั้นขณะที่ผมยังเป็นอะไรที่สามารถอธิบายได้ ผมว่ามันไม่จําเป็นที่ต้องอธิบายก็คือมันคืออะไรที่บรรยายเป็นคําพูดไม่ได้ ผมแค่พยายามสร้างและแสดงเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผมสามารโชว์ได้ในฐานะ V ถ้าจะถามว่าผมกําลังแสดงออกเป็น V แบบไหนใน BTS คงเป็นคนที่ร้องเพลงและเต้น นั่นเป็นด้านหนึ่งในพันของ V และมันก็ขึ้นกับผู้ชมที่จะตีความ

Q: ผมเดาว่าคุณสามารถพูดการได้แสดงคอนเสิร์ตแบบเจออาร์มี่หลังจากเวลานานน่าจะเป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องนั้น มันคงเป็นเรื่องยากที่จะแสดงบุคลิกที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านั้นบนเวที

V: ตอนที่เราจัดคอนเสิร์ตครั้งแรกในแอลเอ เหมือนเราปล่อยพลังบทที่ราบสูง มันรู้สึกดี ตอนนั้นผมมีความสุขมากที่ได้ประสบชีวิตประจําวันแบบปกติสักที ผมรู้สึกได้อีกครั้งว่าเราได้รับความรักกมากแค่ไหน และผมคิด ว่าผมมีช่วงเวลาที่ยากลําบากเช่นกัน แต่ก็รู้เลยว่าอาร์มี่รอคอนเสิร์ตมานานแค่ไหน และผมดีใจที่มันจบลงอย่างสวยงามและผ่านไปด้วยดี คอนเสิร์ตเป็นไปตามที่ผมคิดไว้กับบรรยากาศที่ผมหวังไว้ และในตอนสุดท้ายผมมี ความสุขมาก และผมอยากได้ยินเสียงอาร์มี่แต่ละคนและดีใจมากที่ได้ฟังเสียงพวกเขา

V: “ผมหวังว่าจะสามารถมีหลายตัวตนได้ ทั้งนักร้อง นักร้องเดี่ยว นักแสดง และอื่นๆ ช่างภาพ หรือคิมแทฮยองในวัยชรา”

Q: อะไรที่จะทำให้คุณเป็นศิลปินในอุดมคติ?

V: ผมหวังว่าจะสามารถมีหลายตัวตนได้ ทั้งนักร้อง นักร้องเดี่ยว นักแสดง และอื่นๆ ช่างภาพ หรือคิมแทฮยองในวัยชรา หรือเมื่อผมไปเป็นอย่างอื่น ผมอยากจะเป็นคนที่มีหลายพันตัวตน และเป็นคนที่มีมุมใหม่ๆที่ดีพอจะทำอะไรที่แตกต่างกันในทุกวัน ผมคิดว่านั่นคือความฝันสูงสุดของผมที่พูดในฐานะศิลปินนะครับ

Q: คุณได้รับความรักในขณะแสดงบุคลิกของคุณบนเวที แล้วลงเขียนเพลงด้วยความรู้สึกอิสระของคุณ อยากให้มันออกมายังไงจากกระบวนการทั้งหมด?

V: ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนแรกผมแค่คิดว่าการแสดงของผมเป็นอะไรที่ต้องเปลี่ยนทุกวัน แต่อะไรก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผมก็มีเรื่องให้คิดมากขึ้นด้วย ดังนั้นถ้าผมเอาแต่คิดเรื่องเดิมๆ ผมจะชะงักอยู่ตรงนั้น ดังนั้นผมคิดว่าผมไม่ควรยึดติดกับสิ่งที่ควรทิ้งไปและทิ้งมันไป ต้องเอาอะไรก็เอามาและทําอะไรที่ต้องทํา (ตรงนี้อาจสื่อถึงการทําอะไรที่ต้องทําให้เสร็จค่ะ) ดังนั้นแม้ว่าผมจะทําเพลงผมจะลบทิ้งเลยถ้ามันไม่โอเค และบอกตัวเองว่าจะถ้าแสดงอะไรออกไปแล้วรู้สึกไม่ใช่ก็จะไม่ทํามันอีก และผมก็มาถึงจุดที่ถ้าผมอยากทําอะไรจะบอกกับตัวเองว่าจะทํามันสักวันหนึ่งโดยไม่ล้มเหลว

Q: คุณใกล้ทํามันสําเร็จหรือยัง? คุณประเมินตัวเอง Weverse Magazine ไว้เข้มงวดเหมือนกัน

V: สําเร็จแค่จุดหนึ่งครับ

แค่จุดเดียว? (หัวเราะ) 

V: ไม่รู้สิครับ (หัวเราะ)

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS Proof Jungkook

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> ดูบอล

>>>>>> สมัครสมาชิก คลิ๊ก