BTS Proof Jungkook

BTS Proof Jungkook แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Jungkook แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Jungkook แปลบทสัมภาษณ์ของจองกุกในนิตยสาร Weverse magazine เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่จะมาเจาะลึกในการคัมแบคครบรอบ 9 ปีของวง BTS การทำเพลง / อัลบั้ม และเรื่องราวการเติบโตของเมมเบอร์ และบทบาทและมุมมองของโวคอลวง BTS และน้องเล็กของวงอีกคนด้วย

BTS Proof Jungkook : “ผมพยายามไม่ปรับแต่งเสียงแต่เน้นการสื่อสารแบบจริงใจ”

BTS Proof Jungkook

Q: สําหรับ Proof คุณได้ปล่อยเพลง “Yet To Come “Run BTS” และ “For Youth” ตอนอัดเพลงได้ทําอะไรเป็นพิเศษในแต่ละเพลงหรือไม่?

Jung Kook: ส่วนมากผมแค่ฟังตามอารมณ์ของ เพลงแล้วร้องครับ ไม่มีวิธีเจาะจงตอนทําเพลง แต่พูดง่ายๆ ก็คือผมร้องเพลง For Youth แบบเศร้าๆ อย่าง Run BTS ร้องแบบเมื่อก่อนและ “Yet To Come” ร้องคล้าย “Life Goes On” ผมเอาแต่คิดว่าอยากอัดเสียงอีกครั้ง คิดว่าทําได้ดีกว่านี้ แค่มีเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยตอนนั้น

Q: คุณใช้เวลามากใน V LIVE พูดเกี่ยวกับแนวทางในการร้องเพลงของคุณ ตอนอัดเสียงความคิดเดียวกันนี้ได้ใช่ไหม?

Jung Kook: ตอนอัดเพลงเสร็จพบค้นพบวิธีใหม่ครับ: เมื่อคุณกําลังอัด ตอนอัดเพลงความรู้สึกสําคัญกว่าเสียง ผมว่านั้นทําให้เสียงผมฟังดูดีตอนได้ยินตอนร้องสดเทียบกับตอนบันทึกเสียง ดังนั้นเวอร์ชันร้องสดและเวอร์ชั่นสตูดิโอจึงแตกต่างกันเล็กน้อยเช่นกัน

Q: เสียงของคุณดูหนักแน่นกว่าตอนที่คุณร้องเพลง “Dynamite” “Butter” และ “Permission to Dance” เป็นภาษาอังกฤษคําว่า “Yet To Come”คุณทําให้ฟังดูซาบซึ่งตั้งแต่เริ่มเพลง ทําไมหรอครับ?

Jung Kook: ตอนอัดเสียงในเวอร์ชั่นสตูดิโอผมเคยโฟกัสกับเสียงมากกว่า แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมพยายามให้เสียงไม่ปรับแต่งมากไป แม้กระทั่งการใช้เสียงพูดของผม ดังนั้นผมใช้วิธีนี้ ผมพยายามไม่ปรับแต่งเสียงแต่เน้นการสื่อสารแบบจริงใจ

Q: การโคฟเวอร์เพลงของ “Chilly, Windy Night in 1991″ และ “Hate Everything” ที่คุณโพสต์บน Instagram ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด เสียงร้องของคุณฟังเหมือนเสียงพูดของคุณ ผมคิดว่าบางที่คุณอาจสนใจเสียงสไตล์นั้นมากขึ้น

Jung Kook: ผมรู้สึกเหมือนอยากให้การร้องเพลงเสียงพูดฟังดูดีขึ้น เมื่อพูดถึงเทคนิคการร้อง ผมมักแต่งเสียงของผมดังนั้นผมคิดว่าคงจะดีถ้าสามารถร้องเพลงได้ดีแม้ว่าจะใช้เสียงที่เป็นธรรมชาติมากกว่าก็ตาม ผมต้องการให้ผู้คนมองว่าเสียงดีแม้ว่าฉันจะร้องเพลงในลักษณะที่เลียนแบบคําพูดสบายๆ ดังนั้นในทุกวันนี้ ผมจึงฝึกร้องเพลงด้วยเสียงพูดเป็นหลัก หมายถึงผมกําลังฝึกใช้เสียงแบบที่เสียงนั้นเป็นอยู่แล้ว

Q: คุณชอบร้องเพลงด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติของคุณหรือไม่?

Jung Kook: พูดตามตรง มีหลายครั้งที่ผมไม่ชอบเสียงนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนผมพยายามร้องเสียงสูงหรือพยายามทําให้เสียงดูปรับแต่งอย่างมากในการแสดงเก่าๆ ตอนได้ฟังเสียง แต่หลังจากที่ได้ลองร้องด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมาระยะหนึ่งแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว ผมรู้ว่าผมทําเสียงให้ไพเราะมากกว่านี้ได้ แต่ผมแค่พยายามร้องเพลงแบบนั้น (แบบธรรมชาติ)

Q: คุณร้องเพลง “Stay Alive” ให้ใกล้เคียงกับเสียงที่เป็นธรรมชาติของคุณมากขึ้น โดยเสียงบางท่อนเหมือน SUGA อย่างปฏิเสธไม่ได้ และในบางท่อนยังท้าทายตัวเองโดยร้องระดับเสียงที่สูงขึ้นด้วย

Jung Kook: ยุนกิไม่ได้ขอให้ผมทําแบบนั้นหรืออะไรเลยครับ เรามีความสุขมากที่การอัดเสียงออกมาแบบนี้ (หัวเราะ) แต่จริงๆแล้วมันยากนะ การอัดมันยากจริงๆ มันยากเพราะว่ามันไม่สมบูรณ์แบบ และเพราะว่าต่อให้อัดหลายรอบก็ร้องไม่ได้ ผมโทษตัวเองไม่มากก็น้อย เพลงนี้เป็นตัวเลือกที่ดีและการอัดก็ทําได้ดี แต่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น

Jung Kook : “ถึงแม้จะเหนื่อย ผมบอกตัวเองว่าคงจะดีที่สุดต่อการซ้อมแบบนี้เป็นต้นไป”

BTS Proof Jungkook

Q: ก่อนมากสัมภาษณ์คุณก็ร้องเพลง ผมเคยเห็นคุณร้องเพลงหลายครั้งแล้วจริงๆ สําหรับคุณการร้องเพลงมีความหมายอย่างไร?

Jung Kook: อืม … เท่าที่ร้องเพลง ผมอยากให้ชื่อผมกลายเป็นตัวย่อสําหรับมัน อักษรย่อสําหรับการร้องเพลงอยากจะได้รับการยอมรับอย่างมากและหวังว่าจะได้ฟังเสียงตัวเองแล้ว ว้าว ผมเก่งจริงๆ พูดอีกแง่คือ ผมอยากจะร้องเพลงได้ดีและรู้สึกสบายใจ ผมคงรู้สึกแบบนั้นทุกครั้งไม่ได้ แต่… ผมแค่อยากร้องให้ดี ตอนนี้ผม เป็นนักร้องและได้แสดงบนเวทีต่างๆ มากมาย มีหลายครั้งที่ผมแสดงดีเกิดจนขนลุกเลยครับ และด้วยประสบการณ์ที่สะสมมา ผมเลยคิดว่ามันจะอิสระและสนุกแค่ไหนถ้าขึ้นไปบนเวลที่แล้วร้องได้เพอร์เฟค ไม่กังวลอะไรเหมือนที่จินตนาการไว้

Q: ด้วยความรู้สึกนั้น คุณคิดยังไงกับคอนเสิร์ตที่ผ่านมา

Jung Kook: ผมแสดงสองโชว์แรกในเวกัสและซ้อมร้องในวันถัดไปและคิดว่าทําไมตอนนั้นไม่ร้องแบบนี้ และทําการแสดครั้งที่สามและสี่ตอนแสดงรอบสองและสี่ผมรู้สึกดีมากครับ ผมแข็งแรงและคอโอเครวมถึงโชว์ครั้งที่สอง ตอนครั้งที่สีเริ่มอ่อนแรงแล้วครับแต่คอยังดีอยู่ มันยากมากเพราะผมไม่สามารถวอร์มเสียงหลังติดโควิดเลยกังวลคอนเสิร์ตครั้งที่สองมาก แต่ผมรู้สึกว่าต้องผ่านไปให้ได้ซึ่งทําให้ผมตื่นเต้นและมันสนุกมาก ก่อนรอบที่สี่ผมฝึกใช้เสียงที่ทําให้ผมเรียนรู้การใช้เสียงระดับต่างๆ และรู้ไหมครับ การรู้ว่าต้องโฟกัสตรงไหนทําให้อะไรต่างมากเลย ถึงแม้การแสดงจะใช้พลังมาก แต่มันให้ความมั่นใจกับผมตอนตระหนักได้ ตอนซ้อม คอนเสิร์ตรู้สึกสงบเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้จะเหนื่อย ผมบอกตัวเองว่าคงจะดีที่สุดต่อการซ้อมแบบนี้เป็นต้นไป ท้ายที่สุดมันสนุกมากครับ

Q: บางทีนั่นอาจเป็นวิธีการหาจุดยืนในการแสดงของคุณ

Jung Kook: มันน่าอึดอัดในระหว่างการแสดงครั้งแรก แต่ผมก็กลับไปแสดงแบบที่คิดไว้เมื่อแสดงไปเรื่อยๆ ผมรู้หลังจากคอนเสิร์ตว่าฉันสนุกกับการทําการแสดงมาก ผมชอบที่แสดงได้ในที่สุดและอยากทํามันต่อไป

Q: จากการเตรียมตัวทั้งหมดทกับการแสดงและงานอื่นๆ ของคุณ คิดว่าสิ่งนี้ส่งผลต่อชีวิตประจําวันของคุณหรือไม่? คุณพูดใน V LIVE ว่าคุณเอาลิ้นแตะเพดานปากเมื่อคุณถ่ายรูป เพราะมันทําให้คุณดูเก่งขึ้น แต่ไม่อยากทําแบบนั้นตอนร้องเพลง

Jung Kook: ผมยังเลิกนิสัยนี้ไม่ได้ครับ มันยากมาก (หัวเราะ) แต่ไม่มีอะไรยากไปหรอก ที่จริงผมชอบให้ความสนใจกับอะไรแบบนั้น มันทําให้ผมรู้สึกเหมือนกําลังพยายามเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยก็ในช่วงเวลานั้น

Q: คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคิดกับตัวเอง นี่มันดีพอแล้ว หรือเราเก่งขึ้น?

Jung Kook: ความพอดีมันไม่เคยพอ แต่ผมรู้สึกดีที่ตอบศัพท์ที่ท่องได้ทันทีได้ตอนครูถามระหว่างเรียนภาษาอังกฤษมันเหมือนกับว่าฉันจําได้จริงๆ! สําหรับการร้องเพลง มีบางครั้งที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และมีบางครั้งที่ง่ายเพราะตอนนั้นคิดว่า มันเป็นเพราะทุกสิ่งที่ผมฝึกใช่ไหมนะ ขอให้เป็นแบบนั้นทุกวัน (หัวเราะ)

Q: ส่วนใหญ่ที่คุณพูดกับผู้ชมในคอนเสิร์ตที่ลาสเวกัส คุณพูดเป็นภาษาอังกฤษ นั่นก็เป็นผลจากการทํางานหนักเช่นกันไหม

Jung Kook: ผมรู้สึกขอบคุณเมื่อคนอื่นเห็นและบอกว่าผมพัฒนาขึ้นจริงๆ หรือผมทําได้ดี แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองทําได้ดี ผมคิดว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษฟังดูดีกว่าที่พวกเขาคาดไว้พราะไม่ได้ทําผิดพลาดอะไรแต่ไม่คิดว่ามันน่าภูมิใจ ถ้าผมสามารถนําการแสดงคอนเสิร์ตทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีล่ามแบบนั้นถือว่าพัฒนาขึ้นมาก แต่ผมยังไม่ถึงจุดนั้น ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยครับ และผมอยากจะพูดสิ่งคิดโดยง่ายแต่ไม่ติดขัดอะไรเร็วๆ เมื่อพูดว่าผมทําได้ดีมันแค่ความรู้สึกตอนนั้น แต่หลังจากนั้นล่ะ? ฉันต้องดีขึ้นอย่างรวดเร็ว. ด่วน ด่วน ด่วน. (หัวเราะ)

Jung Kook : “ถ้าพวกเขาทําได้ ทําไมผมจะทําไม่ได้ละ และถ้าเห็นใครบางคนทําอะไรที่เจ๋งจริงๆ มองว่ามันเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมเริ่มครับ”

Q: นั่นใช้กับด้านอื่น ๆ ในชีวิตของคุณด้วยหรือไม่? ไม่นานมานี้เห็นว่าสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยการชกมวย

Jung Kook: มันตรงกันข้ามมากกว่า ผมมีแผนหลายอย่างแต่บุคลิกไม่ตรงกันครับ ผมขี้เกียจและไม่อยากทำอะไรเท่าไหร่ ผมเลยพยายามไม่ลืมสิ่งที่สัญญากับตัวเองว่าจะใช้ชีวิตแบบมีแม้ว่าจะต้องบังคับตัวเอง ช่วงนี้รู้สึกแบบนั้นบ่อยๆ ดังนั้นผมจะยึดมั่นความรู้สึกนี้ไว้และไม่พลาดโอกาสและเดินหน้าต่อไป ตัวอย่างเช่น เมื่อวานผมสามารถพักอยู่บ้านได้ตอนเย็นแต่ผมออกไปออกกําลังกาย ผมว่าเราต้องฝืนตัวเองให้ทําสิ่งที่คุณรู้สึกว่ายุ่งยากไปทีละอย่าง นั้นเป็นวิธีที่ผมพยายามใช้ชีวิต

Q: นั่นไม่ใช่ขี้เกียจน้อยลงและทุ่มเทให้กับงานของคุณมากขึ้นใช่หรือไม่? (หัวเราะ)

Jung Kook: ผมหวังว่านั่นจะไม่ใช่แบบที่ผมเป็นตามปกติ (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าผมทําอะไรแค่ที่รู้สึกสนุก ผมสนุกไปกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่อได้ลงมือทํามันในที่สุด แต่ผมสึกหงุดหงิดเมื่อต้องทําอะไรสักอย่างและไม่อยากทําจนกว่าจะเริ่มทํา (หัวเราะ) ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมผมถึงทําแต่สิ่งที่ช่วยให้เป็นนักร้องที่ดีขึ้นในตอนนี้ ถ้าผมพยายามเรียนเครื่องดนตรีตอนนี้ไม่คิดว่าจะมั่นใจในมันในทันที แต่จะลองเรียนตีกลองถ้าอยากทํา และเรียนเต้นช่วยได้เยอะตอนขึ้นเวที คุณฟังเพลงเมื่อคุณเต้น ซึ่งก็มีประโยชน์เช่นกันผมว่านะ และการชกมวยก็ช่วยให้แข็งแรงขึ้น แถมยังสนุกอีกด้วย ผมเลือกเพราะเป็นการออกกําลังกายแบบแอโรบิกที่สนุกที่สุด การอ่านหนังสือและฝึกฝนผมทําเพราะต้องเขียนเนื้อเพลง ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน: ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ถ้าผมต้องพูดภาษาอังกฤษหรือสัมภาษณ์ มันก็คงมีประโยชน์ในตอนนั้น และผมสามารถใช้มันในการเขียนเนื้อเพลงได้เช่นกัน ผมรู้สึกเหมือนทําอะไรแบบนั้นเพราะการเป็นนักร้อง

Q: ในฐานะสมาชิกของ BTS คุณทําอะไรเยอะมากแล้ว อะไรเป็นแรงผลักดันให้คุณลองสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้

Jung Kook: เพราะสุดท้ายแล้วผมก็ต้องการมัน ผมต้องการที่จะเห็นตัวเองสามารถทําสิ่งเหล่านั้นได้ ผมว่าตัวผมมอะไรขัดแย้งกันเยอะเลยครับ และอาจเพราะความภาคภูมิใจมั้งครับ มีบางครั้งที่เห็นใครบางคนทําอะไรบางอย่างและคิดว่า ถ้าพวกเขาทําได้ ทําไมผมจะทําไม่ได้ละ และถ้าเห็นใครบางคนทําอะไรที่เจ๋งจริงๆ มองว่ามันเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมเริ่มครับ

Q: ผมคิดว่าคนประเภทที่คุณอยู่ด้วยนั้นสําคัญมาก ไม่ว่าคุณจะทํางานด้วยกันหรือแค่พูดคุย

Jung Kook: ผมเห็นด้วยครับ ผมคิดว่าถ้าคนอื่นไม่ช่วยผมคงกระตุ้นตัวเองได้ไม่มาก

Q: เมมเบอร์คนอื่นๆ จะต้องมีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณ

Jung Kook: อิทธิพลเยอะจริงๆครับ แค่เห็นคนอื่นปล่อยมิกซ์เทปออกมาก็ทําให้คิดว่า ผมควรทําเมื่อไหร่ดี? ต้องมีบางอย่างที่ผมทําเพื่อพิสูจน์ได้

Q: นั่นคือที่มาของ Proof มากกว่าการชนะรางวัลแกรมมี่?

Jung Kook: ผมคิดว่ายังสถานะของเราอยู่ที่นั่นไม่ว่าเราจะชนะรางวัลแกรมมี่หรือไม่ก็ตาม มันก็แค่ ผมไม่รู้ -เป็นประสบการณ์ที่ดีละมั้งครับ? มันทําให้ผมรู้ว่า แม้ว่าการได้รับรางวัลแกรมมี่เป็นเรื่องใหญ่แต่ผมก็ไม่ ได้สนใจที่จะชนะจริงๆ ผมสนใจที่จะพิสูจน์ตัวเองผ่านดนตรีมากกว่า และมันก็เยี่ยมมากที่ได้เห็นการแสดงจากคนที่ผมไม่เคยดูการแสดงสดมาก่อน

Q: นั่นทําให้ผมนึกถึงตอนที่คุณ เจโฮปและจีมินเต้นเพลง “Butter” รีมิกซ์เป็น 3J วิดีโอเบื้องหลังเผยให้เห็นว่าคุณถ่ายวิดีโอการหลายครั้ง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่สําคัญที่สุดเหรอ?

Jung Kook: ตอนที่โฮซอกขอให้เราทํา 3J ผมคิดว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ผมแค่อยากจะทําอะไรสักอย่าง สิ่งที่เราทําเมื่อเราอยากทํามักจะออกมาดีเสมอ ทําแบบนั้น ทําให้เหมือนเป็นเด็กฝึกอีกรอบเลยครับ มันสนุกจริงๆ เพราะมันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากการทํางานในอัลบั้ม ดังนั้นเราจึงถ่ายวิดีโอแต่ทุกครั้งเรามักเต้นผิดไปจุดสองจุดเลยครับ เราก็ยังถ่ายต่อถึงแม่คิดว่ายังไงผลก็ไม่เหมือนเดิม และถึงแม้ถ่ายเสร็จก็ยังขจัดความรู้สึกที่ว่ามันยังไม่ดีที่สุด เราเลยซ้อมอีกตอนเย็นและถ่ายอีกรอบ

Jung Kook : “ผมคิดว่าผมเปลี่ยนไปหลังจากเกิดโรคระบาดมากกว่าครั้งไหนๆ ผมเปลี่ยนมากที่สุดตั้งแต่ช่วงนั้นมาจนถึงปัจจุบัน”

\

Q: ทําไมคุณถึงถ่ายทําเรื่อยๆ?

Jung Kook: ผมคิดว่าถ้าไม่ทําก็คงผิดหวัง มันสนุกจริงๆ แต่ว่าในทางกลับกันมันก็ทําให้ผมคิดว่า แล้ว ทําได้แค่นี้เหรอ ผมเข้าใจท่าเต้นในหัวของผม ตอบผม มองกระจกแล้วท่ามันดูขัดแปลกๆ และผมก็คิดว่าผมควรจะซ้อมคนเดียว ถ้าเกิดว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ผมกลายเป็นคนระวังมากๆเลย ทําให้ต้องเต้นเรื่อยๆเพื่อที่จะให้คุ้นชินกับท่าและพัฒนา

Q: การปล่อยอะไรบางอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อคุณต้องทํามันจนกว่าคุณจะพอใจ? เช่นเดียวกับที่บางคนอาจลังเลที่จะปล่อยเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้น?

Jung Kook: นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมผมถึงมีเพลงมากมายที่ไม่สามารถปล่อยได้ หลังจากพยายามที่จะเขียนเพลง ผมก็คิดว่าควรจะแก้ไขให้มากที่สุดแล้วค่อยปล่อย แต่หลังจากมาฟังเพลงพวกนั้นอีกครั้งหลังจากไม่ ได้ฟังมานานก็รู้สึกว่ามันฟังไม่ค่อยโอเคก็เลยลบหมดเลยครับ

Q: อ่า น่าเสียใจจริงนะครับๆ

Jung Kook: ผมเป็นแบบนั้นมานานแล้ว เมมเบอร์คนอื่นๆ บอกผมว่า “ต้องปล่อยเพลงไปเรื่อย ถึงจะรู้ว่าต้องทํายังไง” ดังนั้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมเลยเขียนเพลง

Q: ผมฟังเพลง “Still With You (Acapella)” และเสียงร้องของคุณต่างจากตอนที่คุณร้องเพลงกับ BTS เพลงฟังดูสงบและจดจ่อกับรายละเอียด ถ้าคุณปล่อยเพลงแบบนี้มาก่อนมันอาจกลายเป็นอะไรที่เหมือนสไตล์ซิกเนเจอร์ของคุณก็ได้

Jung Kook: ผมคิดว่าการชะลอปล่อยเพลงแบบนั่น มันช่วยได้จริงจริงผมยอมรับว่าผมไม่ ค่อยพอใจในช่วงนั้นมากกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ ความคิดของผมคือ ผมควรจะเริ่มทําอะไรให้ดีกว่าเดิม ด้วยการปล่อยเพลงในระยะนั้น ผมเลยคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้ว

Q: คุณมีส่วนร่วมในเพลง “Run BTS” ในส่วนไหนบ้าง

Jung Kook: มันปนกันไปหมด โฮซอก นัมจุน และผมมีปัญหากับทํานองในท่อนแรก เราเลยแยกกันเขียน ละผมก็บอกพวกเขาว่าจะลองเขียนอะไรด้วยจบลงที่มัน สําเร็จกลายเป็นผมทําท่อนนั้น ผมเขียนทํานองใหม่และเชื่อมโยงแต่ละส่วนของเราให้เป็นหนึ่งเดียว

Q: ผมเดาว่าคุณสามารถพูดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทําเพลง บางทีคุณอาจจะทําอะไรคล้ายๆกันในอนาคตเช่นกันไหม

Jung Kook: ผมอยากให้มันเป็นเอกลักษณ์จริงๆ ผมต้องการเขียนเนื้อเพลงที่ไม่มีความหมายใด ๆ เช่นเพลงที่มีคําว่า “yeah” ซ้ำตลอดทั้งท่อน-ทํานองนั้น แต่มันยาก ผมสงสัยว่าผมควรที่จะลองทํางานกับนักแต่งเพลงคนอื่นไหม แต่ว่าอยากจะลองด้วยตัวเองก่อน

Q: ผมคิดว่าคุณจะค่อยๆ ดีขึ้นถ้าคุณทําแบบนั้น ตั้งแต่เดบิวต์คิดว่าคุณพัฒนาด้านไหนเป็นพิเศษ? เพลงใหม่ใน Proof เกี่ยวกับการมองย้อนกลับไปในอดีตหลังทุกอย่างที่ผ่านมา

Jung Kook: ผมคิดว่าผมเปลี่ยนไปหลังจากเกิดโรคระบาดมากกว่าครั้งไหนๆ ผมเปลี่ยนมากที่สุดตั้งแต่ช่วงนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

Q: คุณเปลี่ยนไปในทางไหน?

Jung Kook: ตอนนี้ผมใจเย็นขึ้นหน่อยแล้ว ผมสามารถมองเห็นเส้นทางทางดนตรีที่อยากจะทําชัดขึ้น เมื่อมานั่งไตร่ตรองดูแล้ว ผมจะไม่พูดว่าผมโตแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นก็เริ่มที่จะมาถึงผมแล้ว ไม่ได้คิดแบบนั้นจนถึงช่วงนั้น

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Agust D

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> ดูบอลออนไลน์

>>>>>> สมัครสมาชิก คลิ๊ก