BTS Album

BTS Album : Love Yourself ถึงเวลาที่ต้องหันกลับมารักตัวเองบ้าง

BTS Album : Love Yourself ถึงเวลาที่ต้องหันกลับมารักตัวเองบ้าง

BTS Album บีทีเอสนั้นสนับสนุนประเด็นเรื่องของการนับถือตัวเอง การรักตัวเอง และการยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่นอยู่เสมอผ่านบทเพลงของพวกเขา โดยเฉพาะในซีรีส์อัลบั้ม Love Yourself ที่ทยอยปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสื่อสารและเข้าถึงผู้ฟัง โดยพวกเขาค่อยๆ เล่าเรื่องของความรัก ความผิดหวัง และการได้กลับมาพบตัวตนของตัวเองอย่างสวยงามอีกครั้ง ซึ่งซีรีส์อัลบั้ม Love Yourself ได้ส่งผลให้ผู้คนยกย่องให้เป็นกระบอกเสียงในเรื่องของการนับถือตัวเองไปโดยปริยาย

ตอนที่เรากำลังเริ่มเขียนกระทู้นี้ ตรงกับช่วงที่มีการรายงานสถิติต่างๆของบังทัน การจัดลำดับและยอดขายที่เกิดขึ้นกับบังทันหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่หลังจากที่เราฟังเพลงครบทั้งอัลบัมมาหลายรอบ เรารู้สึกทันทีว่า นี่ยังไม่ใช่จุดสูงสุด แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เรามีความรู้สึกว่าบังทันกำลังจะเริ่มทำอะไรบางอย่างกับผลงานของพวกเขาในอนาคตต่อๆไป

BTS Album ‘Love Yourself : Her’ ไม่ใช่จุดสูงสุด แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

BTS Album

Love Yourself : Her เป็นอีกอัลบัมที่เราตั้งตารอ เพราะระยะเวลา 7 เดือน ระหว่างอัลบัมก่อนหน้ามาถึงอัลบัมนี้ บังทันผ่านเหตุการณ์สำคัญหลายๆอย่างในชีวิต และเราคิดว่าความสำเร็จที่ผ่านมาจากการได้รับรางวัลจาก Billboard จะส่งผลบางอย่าง ในแง่ของความคิด ประสบการณ์ ที่จะสะสมและกลั่นออกมากลายเป็นผลงานคุณภาพชิ้นต่อจากนี้

ที่เกริ่นไปตอนต้นว่าอัลบัมนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในลำดับถัดไปของบันทัน เพราะสิ่งที่เราสัมผัสได้คือแต่ละเพลงใน Love Yourself เหมือนเป็นการทบทวนสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้เดินทางมาตลอด 4 ปี ทำให้เราย้อนกลับไปมองว่า ที่ผ่านมาพวกเขาสร้างสรรค์ดนตรีมาแบบไหน ถ้ามองไปที่จุดเด่นแต่ละเพลง เหมือนเป็นการผสมผสานดนตรี ตั้งแต่อัลบัมแรก มาจนถึงล่าสุด แล้วตกตะกอนออกมาเป็น Love Yourself : Her อัลบัมนี้เหมือนได้เห็นบังทันคุยกับตัวเอง แล้วส่งต่อความรู้สึกต่างๆมาให้เรา

เราชัดเจนทุกครั้งเวลาเขียนถึงบังทันในเรื่องของอัตลักษณ์ของพวกเขา ไม่ว่าแต่ละอัลบัมบางคนอาจมองว่าแนวเพลงของเขาเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สำหรับเราลายเซ็นของบังทันยังคงชัดเจนเสมอ จนมาถึงอัลบัมนี้ สิ่งที่สัมผัสได้คือ แต่ละเพลงมีความสว่างในตัวเอง ถ้าเทียบกับอัลบัมก่อนๆที่ผ่านมา ที่จะเน้นความหมองหม่น ตัดพ้อ ดนตรีที่ทำให้เราจมดิ่ง(เช่นดนตรีในButterfly/Love is not over/Dead leave) แต่พอมาอัลบัมนี้รู้สึกถึงความสว่าง เข้าใจชีวิต มองโลกในแง่จริง และกล้าเผชิญหน้ามากยิ่งขึ้น และบังทันยังพาเราย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของพวกเขากับการใช้บีทหนักๆ แน่นๆ แต่ก็ซับซ้อนไปด้วยดนตรีหลายเลเยอร์ตามแบบฉบับของพวกเขา

เราจะขอพูดถึงแต่ละเพลงที่เราสนใจในอัลบัมนี้นะคะ ถึงจะเป็นมินิอัลบัม แต่อันแน่นถึง 9(+2) เพลงเลยทีเดียว

– Intro : Serendipity
เคยฟังเพลงไหนแล้วรู้สึกใจเต้น คิ้วขมวด แล้วเหงื่อออกไหมคะ เราเป็นกับเพลงนี้ตั้งแต่ตอนที่เป็นทีเซอร์เลย ตัวเพลงมีหลายเลเยอร์ ฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นที่จะเพ่งไปยังเลเยอร์ต่างๆของดนตรี รอคอยวันที่เพลงออกไวๆ เพื่อที่จะฟังเวอร์ชั่นออดิโอ้ เพลงนี้เรามองว่าเป็นอีกก้าวของบังทัน แล้วก็เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ด้วย ทั้งmelody จังหวะการร้อง การใช้เสียงของจีมิน ไม่คุ้นว่าเคยเจอการทำเพลงแบบนี้ในอัลบัมอื่นของน้องๆรึเปล่า เรายังคงชอบเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของจีมิน แม้ว่าน้องจะมีเสียงบาง แต่เราจะรู้สึกสะดุดกับเสียงนี้ทุกครั้งที่ได้ยิน เสียงนี้ยังคงเป็น eargasm เสมอ

– Dimple, Illegal
เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ได้กลิ่นอายอัลบัมเก่าๆของบังทัน vocal line ทำงานรวมกันเป็นอย่างดี 4 เสียงที่มีความแตกต่างกัน แต่พอมาดูรวมกันแล้ว กลับช่วยกันส่งเสริมเพลง ทำให้เพลงมีความน่าสนใจขึ้นได้ การร้อง การใช้เสียง และดนตรีที่ได้กลิ่น R&B ก็ทำให้เรามีความสุขกับการฟังเพลงได้อย่างง่ายๆ จองกุกยังคงมีการใช้เสียงได้อย่างถูกที่ ถูกจังหวะเสมอ แต่ที่โดดเด่นสำหรับเราก็คือเสียงของวี น้องมีเสียงที่เหมาะกับการร้องแจ๊ซมากๆ เรายังคงคาดหวังที่จะได้ยินเสียงน้องกับแจ๊ซอยู่ เสียงของวีทำให้เพลงของบังทันมีเสน่ห์ขึ้นมาก การที่มีเสียงทุ้มต่ำทำให้ทีมร้องมีมิติมากขึ้น และเสียงใสก้องของจินก็ช่วยส่งเสริมเพลงให้น่าฟังมากขึ้น

– Mic drop
เพลงนี้คือบังทันมากๆ บีทหนักๆแบบนี้แหละที่เราคิดถึง พอกลับไปฟังเพลงก่อนๆที่ใช้บีทหนักๆแบบนี้ แล้วมาเทียบกับเพลงนี้ ก็ได้เห็นถึงพัฒนาการค่อนข้างชัด มันเป็นความหนักที่มีมิติ เหมือนน้องเอาส่วนผสมหลายๆอย่างจากประสบการณ์ที่ได้ผ่านมา ใส่เข้ามาในเพลงนี้ แล้วการเรียงเพลงของบังทันเป็นอะไรที่เราชอบมาก เพลงนี้อยู่หลังจากสปีชบิลบอร์ดของนัมจุน ยิ่งเพิ่มความเนื้อเต้นในตัวเรา ฟังจบแทบอยากจะเขวี้ยงของ

– Outro : Her 
เพราะเพลงของบังทัน ไม่เคยทำให้เรารู้สึกแบ่งเลยว่า เพลงนี้ของสายร้องนะ เพลงนี้ของสายแรปนะ เราจะมารู้อีกทีเอาตอนตั้งใจฟังว่า อ่าว เพลงนี้แบ่งกันร้องนี่นา เพลงนี้ก็เหมือนกัน ฟังครั้งแรกรับรู้ถึงความละมุน เป็นภาพกลับของ Cypher ที่ทีมแรปของวงมอบให้ เพลงนี้ขอพูดถึงชูก้านะคะ เรารู้สึกว่าอัลบัมนี้เขามีสักอย่างที่เปลี่ยนไป การออกเสียง หรือลูกเล่นอะไรบางอย่างที่รู้สึกว่าพริ้วขึ้น ดูซอฟลงกว่าเดิม ไม่แน่ใจว่าเสียงที่ร้องคลอไปกับเพลงเป็นเสียงเขารึป่าว จัดว่าเป็นอีกเพลงที่ชอบ

Love Yourself ‘Tear’ : แสงสว่างจากดนตรีสีเทา อัลบั้มของบีทีเอส 

BTS Album

LOVE YOURSELF ‘TEAR’ สีสันของอัลบั้มนี้ต่างจากHERอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเปรียบHERเป็นด้านที่สว่างสดใสที่แสดงออกมาในแต่ละเพลง ก็อาจพูดได้ว่าTEARคือคู่ตรงข้ามของความรู้สึกนั้น และจุดเด่นในอัลบัมนี้ ก็คือการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากเสียงดนตรี จากเมโลดี้ที่ใช้ในแต่ละเพลง แม้เราจะไม่รู้ความหมายในครั้งแรกที่ฟัง แต่บรรยากาศของเพลงโดยรวม ได้แสดงถึงความโหยหา ความกลัว ความเดียวดาย ที่สื่อออกมาจากดนตรีได้ชัดเจน

การฟังเพลงในอัลบั้มนี้ของเรา ทั้งเนื้อเพลง และดนตรี รู้สึกได้เลยว่าบังทันโตขึ้น ความซับซ้อนของอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น ไม่มีสีขาวหรือสีดำสีชัดเจน แต่เห็นเป็นสีเทาๆ ไม่มีความเศร้าหรือความสุขที่สุดโต่ง แล้วความรู้สึกนี้ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงกับคนทั่วไป และบังทันเป็นวงที่ถนัดในการบรรยายความรู้สึกสีเทานี้ผ่านเสียงเพลง การบอกเล่าเรื่องราวใกล้ตัว ความอ้างว้าง ความกลัว ที่หลายคนเคยเผชิญ ก็ไม่ยากนักสำหรับคนที่ผ่านมาฟังแล้วมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่พวกเขากำลังสื่อ

LOVE YOURSELF ‘TEAR’  ไม่ได้ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบถูกทอดทิ้ง แต่เพลงในอัลบั้มนี้ ยังมอบความอบอุ่น เพื่อปลอบประโลมให้อีกด้วย เหมือนเรานั่งอยู่กลางสายฝน แล้วมีมือของใครสักคน กางร่มกันฝนให้กับเรา อาจจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่บางเพลงในอัลบัมนี้ส่งความรู้สึกนั้นออกมาจริงๆ เหมือนเวลาเราเจอเรื่องทุกข์ใจมา ขอแค่ใครสักคนมาลูบหัวพร้อมบอกว่า ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เหมือนเห็นแสงสว่างที่จะเดินต่อไปแล้ว

นอกจากพัฒนาการทางด้านดนตรี สิ่งที่เด่นชัดและไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับอัลบั้มนี้ก็คือ โวคอลไลน์ของวง ทั้ง4คนมีการพัฒนาทางด้านการร้องอย่างเห็นได้ชัด ดีไซน์การร้องให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับแต่ละเพลง แม้ทั้ง4คนจะมีเสียงที่ต่างกันออกไป แต่พอรวมอยู่ในเพลงเดียวกันแล้ว ก็ช่วยเพิ่มมิติและความไหลลื่นของจังหวะ ทำให้แต่ละเพลงฟังดูไม่น่าเบื่อ ที่จะกลับมาฟังซ้ำๆเพื่อแยกเสียงและเทคนิคการใช้เสียงของแต่ละคนออกมาในแต่ละเพลง มาพูดถึงเพลงในอัลบั้มนี้กันบ้าง ขอเลือกบางเพลงที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจทั้งด้านดนตรี เสียงร้อง และเนื้อเพลง

– Paradise

“ไม่มีความฝัน ก็สามารถมีความสุขได้” แค่ประโยคนี้ในเพลงก็ซื้อใจจากเราไปได้เต็มๆ อ่านเนื้อเพลงครั้งแรกก็น้ำตาซึมเลย เพลงที่มีเนื้อหาพิเศษแบบนี้มันช่วยเยียวยาคนได้มากจริงๆนะสำหรับเรา เนื้อหาเพลงไม่ได้ลึกซึ้ง ซับซ้อน หรือยากเกินที่จะเข้าใจ แต่มันเป็นสิ่งที่เราทุกคนกำลังเจออยู่ด้วยซ้ำ อาจด้วยอิทธิพลจากสื่อ จากคนรอบข้าง ล้วนแต่สร้างค่านิยมให้ทำตามกัน ว่าความฝันจะต้องเป็นสเกลที่ใหญ่ ซึ่งก็ไม่มีผิดมีถูก แต่จริงๆแล้วสิ่งเล็กๆที่อยู่รอบตัวเราเองที่แหละ คือแรงขับเคลื่อนชั้นดีที่ทำให้เรามีแรงในการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข การตื่นเช้ามาเจอต้นไม้ริมระเบียง ทำกับข้าวเมนูใหม่ๆที่ยังไม่เคยลอง บางทีความสุขมันอยู่ใกล้จนเรามองข้ามไปรึปล่าว

ความพิเศษของจังหวะในเพลงนี้คือ ดนตรีค่อยๆไต่ระดับ การดึงให้เรามีอารมณ์ร่วมไปในเพลงตั้งแต่ต้นจนจบ ท่อนที่ดึงเราเข้าไปในเพลงอย่างสมบูรณ์ คือท่อนแรปของชูก้า แล้วต่อด้วยการร้องประสานของโวคอลไลน์ ที่ร้องคลอกันไปตลอดทั้งเพลง ท่อนที่ร้องร่วมกัน ก็ไม่ได้แค่ร้องพร้อมกันทั้ง4คนแบบเรียบๆ แต่ถ้าฟังให้ละเอียดไปกว่านั้น จะเห็นถึงการประสานเสียงในท่อน stop running for nothing my friend ที่ทำให้ท่อนนี้น่าสนใจ และมีมิติขึ้นมาก

– Love Maze

ขอชมการเรียงลำดับเพลงของบังทันอีกครั้ง การที่เพลงนี้เรียงต่อจาก Paradise เป็นการส่งต่อเสียงเพลงถึงคนฟัง ได้อย่างดีมากๆ เพลงนี้เป็นอีกเพลงของบังทันที่มีเลเยอร์ของดนตรีแยกออกเป็นหลายเลเยอร์ โวคอลไลน์โชว์เทคนิคการร้องได้น่าสนใจ แอดลิป(?)กันแทบตลอดทั้งเพลง เพลงนี้เลยเป็นอีกเพลงที่เราอยากฟังสด คิดว่าน่าจะร้องสดกันได้สนุกเลยทีเดียว

– 134340

 ดนตรีขึ้นมาก็ชอบเลย โยกตามได้ตลอดทั้งเพลง และบรรยากาศร้านนั่งชิลหลังเลิกงานก็ลอยมา ส่วนเนื้อเพลงก็ประทับใจมาก เนื้อเพลงเนิร์ดสุดๆ เอกพจน์ พหูพจน์ อุณหภูมิติดลบ248องศา ดวงอาทิตย์ ชั้นบรรยากาศ ใส่มาเต็มสุดๆ แล้วที่น่ารักคือสิ่งเหล่านี้สามารถเอามาเรียงต่อกันเป็นเนื้อเพลงได้อย่างถูกที่ ถูกจังหวะ รู้จักเอามาเปรียบเปรยอย่างมีกึ๋น ไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดจากการตั้งใจเปรียบเทียบเรื่องดาวพลูโตจนเรารู้สึกเลี่ยนเกินไป อันนี้กำลังดีมาก

TEAR คงใช้คำว่า มาถูกที่ ถูกเวลา ได้อย่างชัดเจนที่สุด ทุกอย่างดูลงตัว และทำให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางสายดนตรีได้อย่างที่เรานึกไม่ออกว่าจะไปได้สูงสุดตรงไหน เราเขียนประโยคนี้มาหลายครั้งแล้วสำหรับการรีวิวอัลบั้มของบังทัน จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปสูงสุดที่ตรงไหนจริงๆ แต่เหนือกว่าสถิติ ยอดขาย ยอดวิวต่างๆที่ประสบความเร็จออกมาในแง่ของตัวเลข สิ่งที่เราเองอดชื่นชมบังทันไม่ได้ก็คือการที่พวกเขาไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวให้ดีขึ้น สัมผัสได้โดยตรงจากเพลงที่พวกเขาตั้งใจทำมันออกมา และตอนนี้คนทั่วโลกก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาต้องการจะถ่ายทอดออกมาแล้ว

LOVE YOURSELF : ‘Answer’

BTS Album

  • IDOL / IDOL (ft.Nicki Minaj)

สำหรับเพลงไตเติ้ลอย่าง Idol นี้ ตอนแรกที่เราฟังในทีเซอร์เราคิดว่าจะเอาดนตรีพื้นบ้านแบบเกาหลีจ๋ามาเลย แต่ผิดคาดมากค่ะ เพราะดนตรีพื้นบ้านเป็นฐานไว้สอดแทรกเข้ามานิดหน่อย ไม่ให้แฟนอินเตอร์อึดอัดเกินไป ผสมกับซาวน์ของแอฟริกาสไตล์ได้ลงตัวมาก โดยรวมงานดนตรีสนุกมากค่ะ ฟังแล้วรู้สึกถึงความฮึมเหิมเลย ไม่ใช่อารมณ์แบบ not today แต่อันนี้มันแนว joyful มากกว่าอีก ด้านเนื้อหาเพลงก็สมกับเป็น BTS ค่ะ คือมีการเสียดสี แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาตามแบบฉบับของ BTS เวอร์ชั่นของ Nicki Manaj มาฟีทด้วย

  • Euphoria

ดนตรีแนว trap-house ฟังสบาย บวกกับเสียงของจองกุกทำให้เพลงนี้ฟังแล้วรู้สึกได้ถึง euphoria จริง ๆ ค่ะ แล้วถ้าลงดีเทลทางเนื้อเพลง สำหรับเพลงนี้เราชอบที่เป็นเพลงที่มีเรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ มากกว่าการบรรยายความรู้สึกในห้วงๆ หนึ่ง เช่น ปกติเพลงหลายๆ เพลงจะเล่าเรื่องแบบ 123 แล้วเล่า 23 ซ้ำอีก

แต่เพลงนี้จะเล่าแบบ 12345 ไปจนจบ แล้วก็ชอบการเปรียบเปรยเนื้อหาในเพลงด้วย อย่างเช่นท่อน “ความฝันคือภาพลวงตา เป็นดั่งสีฟ้าที่อยู่ในทะเลทราย” แบบนี้ค่ะ อีกอย่างคือเราชอบการที่เนื้อเพลงเล่าเรื่องได้แบบที่เราสามารถสร้างจินตนาการตามได้ ไม่ซับซ้อนเกินไป เช่น “ผมได้ยินเสียงทะเลจากที่นั่น” หรือ “ผมกำลังมองหาความฝันที่เหมือนกับสายรุ้งนั้นที่มันจางหายไป” จุดนี้ทำให้เพลงมันมีสตอรี่ดีค่ะ

  • Trivia 起 : Just Dance

‘สมเป็นสีสันของเจโฮป ‘ หลังจากฟังจบแล้ว เรารู้สึกว่าเจโฮปน่าจะเป็นคนเดียวที่มีลายเซ็นต์เพลงชัดเจนมากที่สุดแล้วค่ะ เพลงนี้ไม่มีอะไรมาก อย่างชื่อเพลงคือแค่เต้นไป ปล่อยใจไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ด้วยความที่เพลงมันไม่ได้แรปรัวจังหวะหนัก ๆ ทำให้เราฟังแล้วได้พลังบวก ได้ความร่าเริงกลับไปหลังจากฟังเลยค่ะ แต่ส่วนตัวบีทเพลงนี้เราแอบชอบน้อยกว่าเพลง Mama นิดหน่อยค่ะ เราว่าทำให้สมูทกว่านี้ได้อีก แต่รวม ๆ แล้วก็อยู่ในระดับที่ฟังเพลิน ๆ ได้ทั้งวันเลยค่ะ

  • Serendipity (Full Length Edition)

เพลงนี้เราชอบบีทเพลงมากค่ะ ฟังสบายเหมือน euphoria แต่ส่วนตัวคาดหวังเนื้อหาเพลงที่มากกว่าแสดงความรู้สึกในห้วงๆ หนึ่ง(อย่างที่เคยกล่าวไป) ซึ่งเพลงนี้ส่วนตัว เราว่ามันดูเป็น magical realism ไปหน่อยค่ะ ในด้านเนื้อหาของเพลงการเปรียบเทียบกับเชื้อรา penicillium เอย การเปรียบเทียบตัวเองเป็นแมวสามสีเอย ดูเหมือนจะเล่นกับเรื่องเพ้อฝันแต่สิ่งที่กล่าวอ้างมามีอยู่จริง ตัวเพลงก็เปรียบเปรยให้ดูเหมือนตกอยู่ในความฝันทั้งเพลง(ทั้งเอ็มวีด้วย)

  • Trivia 承 : Love

สำหรับเพลงนี้ ครั้งแรกที่เราฟังเราสะดุดกับบางจังหวะมากค่ะ แต่รู้สึกว่าต้องหาอ่านคำแปล เพราะประโยคว่า I live so I love มันน่าสนใจมาก พอได้ยินประโยคนี้เรายิ้มเลย สมกับเป็นอาร์เอ็ม ประโยคง่าย ๆ แต่มีความหมายมาก อย่างที่หลายคนรู้กันคือคำว่า live กับ love เนี่ย มันต่างกันแค่ตัวสะกดเท่านั้น นอกนั้นตำแหน่งตัวอักษรเหมือนกันหมด อยู่เพื่อรัก รักให้เป็น ส่วนตัวฟังเพลงนี้เป็นแล้วสดใสมากค่ะ ในธีม love yourself เพลงนี้เหมือนเป็นเพลงส่วนขยายเลย ว่าความรักทำให้เราเปลี่ยนไปได้จริง ๆ

  • Singularity

ยกเพลงนี้ให้เป็นเพลงที่เราฟังพร้อมกับอ่านเนื้อหาแล้วรู้สึก impact ในใจเรามาก เพราะอย่างแรก ดนตรีแนว soul นี่เหมาะกับสไตล์การร้องและเนื้อหาเพลงหน่วงๆ ค่ะ ซึ่งเพลง singularity ก็ตีโจทย์และทำให้เรา touch จุดนี้ได้ง่ายมาก มากจนถึงที่แม้แต่บางคนที่ไม่อินหรือไม่ชอบฟังกับแนวนี้ก็ยังรู้สึกได้เลย เพราะแบบนั้นเราว่าคนที่ชอบฟังแนวนี้อยู่แล้วจะชอบมาก อินมาก ดูได้จากหลายๆ คนที่แชร์ความรู้สึกกันมา เพลงนี้เราชอบตรงที่ทุกอย่างในเพลงมันไปในทางเดียวกับหมดเลย แล้วก็เนื้อหาในเพลงที่เล่าเรื่องแบบ 12345 เน้นการเล่าเรื่องแบบที่เรามองเห็นและจินตนาการได้ นั่นคือสิ่งที่ชอบค่ะ

  • Trivia 轉 : Seesaw

เรามองว่าในบรรดาแรปไลน์ของ BTS ชูก้าเป็นคนทำเพลงที่มีความยืดหยุ่นในการทำเพลงที่หลากหลายมากกว่าคนอื่นค่ะ อย่างอาร์เอ็มเพลงแต่ละเพลงจะมีความ Philosophy ปนอยู่เสมอ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม พูดเรื่องที่เราไม่คิดว่าจะพูด ของเจโฮปจะแนวสดใส ๆ ฟังแล้วรู้สึกได้ถึง jovial ในเพลงได้ตลอด ในขณะเดียวกันเพลงของชูก้าก็มีกลิ่นอายของความเป็นชูก้าเหลืออยู่ แต่ไม่มากเท่าอีกสองคนที่มีสีสันที่ชัดเจนกว่า เพลงของชูก้าจะมีความ realistic กล่าวถึงเรื่องจริง ที่เห็น ๆ กันอยู่ อย่างตรงไปตรงมา ใช้ประโยคง่าย ๆ แต่คำฟังได้อะไรเยอะ จุดนี้เพลง Seesaw ก็มีและทำหน้าที่ได้ดีค่ะ ใครจะไปคิดเอาประเด็นการเล่นกระดานหกมาเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของคน มันเป็นของเล่นธรรมดามาก แต่เอามาเป็น main idea ได้แบบนี้

  • Epiphany

สำหรับเพลง Epiphany ส่วนตัวเราชอบดนตรีแนว pop-rock อยู่แล้วค่ะ พอได้พี่จินมาร้องด้วยยิ่งโอเคเลย เพลงนี้ทำให้เราหลุดกลับไปในยุคเก่าๆ แบบ 90s-2000s ต้นๆ ซึ่งปัจจุบันเราว่าไม่ค่อยมีแล้วนะ เพลงแบบนี้ เพราะเพลงนี้เรารู้สึกว่าความซับซ้อนทางดนตรีน้อยมาก คอร์ดง่าย ๆ เนื้อหาของเพลงเน้นท่อนที่ติดหูฟังง่าย เข้าใจได้ง่าย แม้เสียงเบส กีต้าร์ กลอง ของเพลงหนักใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับเพียวร็อคเลย ด้วยความป็อปตรงนี้ มันเลยทำให้เพลงนี้สำหรับเรามีเสน่ห์มากค่ะ ถ้าให้เพลงนี้เป็นคนก็ดูจะเป็นคนง่ายๆ แต่หนักแน่นในความรู้สึกดี เนื้อหาของเพลงนี้ก็สวยมากด้วย มีประโยคหนึ่งที่เราอ่านแล้วชอบมากเลยคือ “แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ยังสวยงาม” ภาษาเพลงนี้สวยจริง ๆ ค่ะ ยกเครดิตให้พี่จินเลยที่เขียนออกมาได้ขนาดนี้

  • I’m Fine

I’m Fine เป็นเพลงที่มีกิมมิคในเพลงเยอะมากอีกเพลงหนึ่งค่ะ ไม่ว่าจะงานดนตรีหรือเนื้อเพลง อย่างที่แฟน ๆ รู้กันว่าเพลงนี้มันเป็นเพลง Save me ที่ถูกกลับหัว แน่นอนว่าแมสเสจ ของ Save me มันชัดเจนมากว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ตรงข้ามกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ท่อนแรกของเพลงเลย ของ save me จะเป็น “ผมยังอยากหายใจอยู่ ไม่ชอบค่ำคืนนี้เลย ผมอยากตื่นขึ้นมา ไม่ชอบความฝันนี้เลย ผมที่กำลังตกหลุมพรางของตัวเอง แล้วก็ตายไป” ในขณะเดียวกัน ของ I’m Fine จะเป็น “ผมลืมตาขึ้นมาอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามท่ามกลางอากาศเย็น แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจนทำให้มึนงง ลมหายใจเริ่มหอบ หัวใจเต้นแรง ผมสัมผัสได้อย่างง่ายได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่” และนอกจากเนื้อหาที่ถูกกัดกร่อนให้เพี้ยนไปแล้ว ตรงท่อนแต่ละคน จังหวะที่ลงของแต่ละคนยังถูกทำให้ตรงกันด้วยค่ะ

  • Answer : Love Myself

สำหรับเพลง Answer : Love Myself ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจฟังเลย เพราะเปิด spotify แล้วทำอย่างอื่นไปด้วย กะฟังแบบไปเรื่อย ๆ แต่พอถึงเพลงนี้แล้วรู้สึกสะดุดเลยค่ะ ตัวเพลงดีมาก เมโลดี้สวยมาก เนื้อหาของเพลงแน่นอนค่ะว่า Love Myself อย่างชื่อเพลงเลย เราชอบท่อนหนึ่งมากค่ะ ที่บอกว่า “ฉันไม่รู้ว่านี่มีคำตอบหรือเปล่า บางทีมันอาจไม่มีคำตอบเลยก็ได้ ขนาดการรักตัวเองยังเป็นเรื่องที่ต้องขออนุญาตคนอื่นอยู่เลย” แล้วก็ “ฉันเป็นคนที่เคยเสียใจ ฉันเป็นคนที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ยังเป็นคนที่งดงามอยู่ดี” จะเห็นได้ว่าเพลงเต็มไปด้วยแมสเสจที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ ทุกประโยคในเพลงเป็นประโยคที่ให้กำลังใจทั้งนั้น ถือว่าเป็นเพลงปิดฉาก Love myself หรือซีรีส์ Love yourself ที่สวยงามมากค่ะ

Map of the Soul: Persona แสดงตัวตนผ่านเสียงเพลง BTS Album

ซีรีย์ Love Yourself ที่ผ่านมา เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาตัวตน กล้าเผชิญหน้าและยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงเรียนรู้ที่จะอยู่จะปัจจุบัน ส่งต่อสู่ซีรีย์ใหม่ Map of the Soul ที่เป็นเหมือนการค้นพบตัวตน เข้าใจถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราขึ้นมา

A poem for the small things อีกชื่อหนึ่งของเพลง Boy with Love ประโยคนี้ น่าจะทำให้เห็นภาพโดยรวมของอัลบั้มชัดยิ่งขึ้น แต่ละเพลงเป็นการพูดถึงการหันกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องราว เหตุการณ์เล็กๆรอบตัวเรา เป็นแนวความคิดของอัลบั้มที่น่าสนใจและจับต้องได้ง่าย เรามองว่าบังทันถนัดในการพูดถึงเรื่องเล็กๆใกล้ตัว อัลบัมนี้ก็ยังคงสิ่งนี้ไว้อยู่ ไม่ทิ้งความเป็นตัวตนที่จะสื่อสารออกมาผ่านคำร้องและทำนองของเพลง

– Intro: Persona

 เปิดมากับดนตรีที่คุ้นเคยจาก Skool luv affair เราไม่แน่ใจว่ามีข้อความอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ ถึงกลับไปใช้ดนตรีของยุคนั้นแต่ก็เพิ่มความน่าสนใจขึ้นด้วยเสียงของกีตาร์ไฟฟ้า การแรปแบบชัดถ้อยชัดคำ ลงจังหวะของเสียงที่หนักแน่นของRM เป็นอะไรที่น่าฟังมากๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึกเลือดในร่างกายมันสูบฉีด เป็นเพลงที่เหมือนRMมาเล่าเรื่องของตัวเองให้เราฟัง เราชอบความจริงใจที่เขาพูดเรื่องของตัวเองออกมาทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นผ่านเพลง หรือย้อนไปตอนที่พูดUN การที่คนๆนึงจะขุดความรู้สึกลึกๆในตัวออกมาได้ แล้วเรียบเรียงออกมาให้เป็นระบบระเบียบเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

– Boy with Love

 ปกติเพลงtitleของบังทันจะไม่ใช่เพลงที่เราชอบที่สุดแต่กับ Boy with Love แตกต่างออกไป เรากลับชอบเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้ม เป็นเพลงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึก สดใส สดชื่น มอบพลังงานบวกมากๆ ดนตรีก็มีความไหลลื่น ฟังไม่สะดุดตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับเสียงของ Halsey ที่เข้ากันกับสไตล์ของเพลงนี้ แล้วมีร้องเป็นภาษาเกาหลีด้วย มันเป็นเหมือนการก้าวข้ามเส้นกั้นระหว่างภาษา ฟังแล้วประทับใจมาก ต้องชื่นชมเรื่องการเลือกศิลปินมาร่วมงานของบังทัน ตั้งแต่ Desiigner Nickiมาจนถึง Halsey ศิลปินแต่ละท่าน ต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเองแต่พอได้มาร่วมงานกับบังทันแล้ว เพลงที่ออกมาก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่ทั้งบังทันและศิลปินที่ร่วมงานด้วย

– Mikrokosmos

 ฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกเหมือนฟังเพลงประกอบอนิเมะเพราะๆอยู่เลย ดนตรีเหมือนได้กลิ่นยุค 80-90 อยู่หน่อยๆ แต่สิ่งที่กินใจเราที่สุดสำหรับเพลงนี้คงจะเป็นเนื้อหาของเพลง ที่พูดถึงหน่วยที่เล็กที่สุด ก็คือตัวเราเอง การให้ความสำคัญแล้วมองเห็นค่าของตัวเอง เห็นแสงสว่างที่มีอยู่ในตัวเรา การมีอยู่ของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันสามารถจุดประกายแล้วก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราทำอะไรได้หลายๆอย่าง ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกได้รับการปลอบประโลมเป็นอย่างมากยิ่งฟังเวลาเหนื่อยๆคงมีน้ำตาคลอ ฟังแล้วมีกำลังใจขึ้นมาเลย

– Make It Right

 เป็นอีกเพลงที่ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง เสียงเครื่องเป่าที่เด่นออกมาในเพลงที่เป็นตัวชูโรง เปิดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำของวีในจังหวะที่ลงตัว และเทคนิคการใช้เสียงหลบของโวคอลไลน์ฟังดูเซ็กซี่แล้วเข้ากับดนตรีของเพลงนี้ ฟังแล้วกลมกล่อมมาก

– HOME

 การเรียงเพลงต่อกันของMake It Right และ HOME ฟังแล้วใจฟูมาก ส่วนตัวเราชอบ R&B ของบังทันอยู่แล้ว แล้วเพลงนี้ก็ทำได้ดีอีกเช่นเคย คงต้องขอชมพัฒนาการของโวคอล ทั้งการประสานเสียง คอรัส เหมือนแต่ละคนเริ่มหาเสียงของตัวเองเจอ และยังมีการปรับให้เสียงเข้ากันกับภาพรวมของวงได้ดี

– Jamais Vu

 เพลงจังหวะช้าๆที่เน้นไปที่การสื่ออารมณ์ผ่านเสียงร้องเป็นหลัก ได้ฟังเสียงร้องชัดๆเพราะดนตรีไม่หนักมาก แต่เราฟังแล้วรู้สึกสะดุดเล็กน้อย ในท่อนร้องของจองกุก Please give me a remedy ที่ร้องหลังจากเจโฮปแรปไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการบันทึกเสียงหรือว่าตั้งใจให้ออกมาแบบนี้ รู้สึกเหมือนอยู่ๆเสียงจองกุกก็โดดขึ้นมา แล้วก็เข้าท่อนฮุค ความเห็นส่วนตัวรู้สึกว่าฟังแล้วรู้สึกสะดุดเล็กน้อย

 – Dionysus

 เดือดมาก จังหวะหนักมาก แน่นมาก เหมือนย้อนกลับไปฟังอัลบั้มแรกๆของบังทันเลย มีกลิ่นHiphopแบบoldschoolอยู่ด้วย ท่อนที่เราชอบสุดคงจะเป็นท่อนแรปของชูก้า ฟังแล้วคือต้องโยกหัวท่วงทำนองในการแรปไหลสนุกมาก

 Map of the Soul: Persona เป็นอีกอัลบั้มของบังทันที่เรารู้สึกว่าฟังง่าย ย่อยง่าย มีความสากลขึ้นแต่ก็ยังคงได้ความรู้สึกของการฟังเคป๊อบอยู่ ความเป็นเคป๊อบไม่ได้หายไปจากตัววง แต่จากการที่ฟังเพลงในอัลบั้มมนี้คือขยายกลุ่มคนฟังให้หลากหลายขึ้น ความเป็นสากลที่เราหมายถึงคือความworldwide การทำเพลงที่ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าอยู่ทวีปไหน หรือจุดไหนบนโลกใบนี้ สามารถฟังเพลงแล้วรู้สึกดีจากสิ่งที่ได้ฟัง โดยที่ภาษาไม่ใช่ข้อจำกัดในการฟังเพลงอีกต่อไป

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Bring The Soul

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> ดูบอล