BTS Proof Suga

BTS Proof Suga แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Suga แปลบทสัมภาษณ์ BTS จาก Weverse magazine ปี 2022

BTS Proof Suga แปลบทสัมภาษณ์ของชูก้าในนิตยสาร Weverse magazine เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่จะมาเจาะลึกในการคัมแบคครบรอบ 9 ปีของวง BTS การทำเพลง / อัลบั้ม และเรื่องราวการเติบโตของเมมเบอร์ และบทบาทและมุมมองของแรปเปอร์วง BTSและโปรดิวเซอร์อีกด้วย

BTS Proof Suga : “เมมเบอร์ทุกคนมาไกลแล้ว และก็มีบางครั้งที่เราเหนื่อย แต่ก็มีบางสิ่งที่อยากทําให้เดินหน้าต่อไป”

BTS Proof Suga

Q: รู้สึกอย่างไรที่ได้ฟังเพลง “Born Singer” เพลงมิกซ์เทป แรกของ BTS ซึ่งตอนนี้รวมอยู่ใน Proof?

SUGA: ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ําว่ามันจะถูกรวมไว้ในอัลบั้มหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ําว่าจะได้ใส่ไป เนื่องจากเพลงต้นฉบับดังมาก แต่ J. Cole อนุญาตให้ทํา ผมอยากจะเขาว่าซึ้งใจมากครับ มันเป็นเพลงที่ผมเขียนแค่ในตอนนั้นเท่านั้น 

ผมเขียนเพลงนี้ช่วงสัปดาห์ หนึ่งหรือสองตอนโปรโมทเพลง”No More Dream” อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นก็คงจะหายไปตามกาลเวลา ดังนั้นมันเขียนได้แค่นั้นหรือไม่เขียนเลย ผมยังคิดถึงการอัดใหม่เพราะมันดูมากไปหน่อยๆ เมื่อมองย้อนกลับไป แต่ความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังของเพลงก็จะหายไปถ้าอัดใหม่ เราเลยใส่เพลงนี้เข้าไปเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะฟังเพลงช่วงเวลานั้นของเราเว้นแต่จะอยู่ในคอนเสิร์ต และอาจมีอารมีบางคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ําว่ามีเพลงนี้อยู่ เรารู้สึกว่าตัวตนของพวกเรามันอยู่ในเพลงนั้นครับ เราก็เลยตกลงกันว่ามันก็ควรที่จะอยู่ในอัลบั้ม

Q: เพลงใหม่ “Run BTS” เป็นเพลงแร็พที่เร็วอีกเพลงหนึ่ง เหมือน “Born Singer” แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

SUGA: ในทางอารมณ์ของเพลงมันต่างกันนิดหน่อย “Born Singer” ทําให้ผมสะเทือนอารมณ์ – มันมีหลายอารมณ์อยู่ในนั้น สําหรับ “Run BTS” เราพูดอยู่เสมอ ว่าเราอยากลองทําเพลงในสไตล์ที่แบบเก่าของเรา ดังนั้นเราจึงเลือกชื่อเพลงทั้งสองที่ตรงกับรายการวาไรตี้ของเรา และสะท้อนว่าเราเป็นใคร-การวิ่งอยู่เสมอ

เมมเบอร์ทุกคนมาไกลแล้ว และก็มีบางครั้งที่เราเหนื่อย แต่ก็มีบางสิ่งที่อยากทําให้เดินหน้าต่อไป ดังนั้นผมว่าเราพยายามที่จะรวมความปรารถนาเหล่านั้นไว้ด้วย และในอัลบั้มล่าสุดผมไม่มีโอกาสที่จะโชว์สกิลการแรปของผมมากนัก ผมก็มันก็เลยทําให้ผมคิดถึงอดีต ทําให้ผมเนี่ยจะเขียนอะไรที่มันดูกระชับแต่การแร็ปก็ยากครับ (หัวเราะ) เราอัดเพลงเสร็จเร็วมาก แต่สําหรับผม มันผ่านมานาน ดังนั้นตอนอัดทําต้องพยายามอย่างมาก

Q: และในการเปลี่ยนผ่านจาก “Born Singer” เป็น “Run BTS” คุณได้ถูกเชิญไปสู่แกรมมี่

SUGA: พวกเราซ้อมกันหนักมากจริงๆ (หัวเราะ) เราคงจะไม่ทําการแสดงแบบนี้อีกสักพัก เราได้มีส่วนในเรื่องเสื้อผ้าแล้วก็แดนซ์เบรคด้วย กระบวนการในการเตรียมตัวมันยุ่งมากเลยครับ ซอกจินบาดเจ็บ โฮบิและจองกุกต้องกักตัว มันก็เลยมีช่วงเวลาที่มีแค่เราสี่คน มันเป็นประสบการณ์ที่คงไม่ลืมเร็วๆนี้ และผู้กำกับก็กระตือรือร้นมากเลยครับสําหรับการแสดง มันก็เลยแอบเครียดในการเตรียมตัวแต่ผมว่ามันก็สนุกดีนะ

เมื่อมองย้อนกลับไป การแสดงผ่านไปโดยไม่มีปัญหา และบางส่วนของการแสดงที่ต้องใช้เสื้อผ้ามาแสดงมันมีปัญหาตลอดเลยครับ รวมถึงวันที่ซ้อมก่อนหน้าวันนึงด้วย ผมก็เลยคิดว่าเราจะต้องมีโชคด้วยแหละ เพราะว่า แสดงออกมาได้ดีเลยในวันจริง เมื่อไหร่ที่พวกเราได้ลองทําอะไรแบบนั้น พวกเรามักจะล้มเหลวครับ (หัวเราะ) ผู้ชมคงจะไม่รู้แต่พวกเราคุยกันเองเราก็เลยกังวลมาก แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านเป็นไปได้ด้วยดีในที่สุด

SUGA : “ผมคิดว่าผมโชคดีจริงๆ ที่ได้มีเส้นทางอาชีพนี้

BTS Proof Suga

Q: รู้สึกอย่างไรกับการรื้อฟื้นมุมมองของโปรดิวเซอร์? “Seesaw (Demo Ver.)” แตกต่างจากเวอร์ชั่นที่ปล่อยมาอย่างมาก

SUGA: มันไม่เหมือนกันเลยใช่ไหมล่ะครับ ผมชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่านะ (หัวเราะ) ตอนทําเพลงนี้มันแอบยากเลยล่ะเพราะมันแตกต่าง ตอนนั้นผมอยู่ในภาวะตกต่ำที่ผมพูดเลยว่าจะใช้เพลงคนอื่นถ้าทําเพลงไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนไม่อยากทําเพลงด้วยซ้ำ แต่มันคลี่คลายโดยเร็ว

ผมไม่รู้สึกอยากทําอะไรเลย ผมแค่เล่นเปียโน โดยรู้ว่าผมต้องทําอะไรบางอย่าง เมื่อผมคิดว่าทํานองนี้ก็ไม่เลวนะ และผมเลยทํานองเสร็จอย่างเร็ว เป็นเพลงสไตล์ชิบูย่า ซึ่งเป็นสไตล์ที่ผมอินตอนเด็กๆ และทาง ค่ายก็ตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน แต่พวกเขาก็แนะนําผมเกี่ยวกับการเรียบเรียงนิดหน่อยผมเลยปรับเปลี่ยน เวอร์ชันที่ออกมากตอนนี้เป็นเวอร์ชั่นที่เครื่องดนตรีมีอารมณ์อ่อนไหวที่ผมรู้สึกตอนมัธยมต้นอยู่ในนั้น

Q: ความรู้สึกที่คุณรู้สึกตอนโรงเรียนมัธยมต้น?

SUGA: ผมชอบเพลงบรรเลงของศิลปินคนโปรดเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ผมจะวิเคราะห์พวกเพลงอย่างมากและใฝ่ฝันที่จะเป็นโปรดิวเซอร์ มันเคยมีเสียงไกด์ด้วยแต่ผมขอให้เขาเอาเออก เสียงไกด์ร้องร้องเร็วเกินไป (หัวเราะ) แต่ตอนที่ผมอยากจะเอาเพลงใส่ในอัลบั้ม ผมหาไฟล์ออริจินัลมามิกซ์เพลงไม่ได้ครับ ผมก็เลยลองทํามันขึ้นมาใหม่แบบต้นฉบับ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกแบบเดิม (หัวเราะ)

ผมก็เลยคุยกับตัวเองว่าผมต้องหาให้เจอ ละก็ตอนที่ไปแอลเอหรือนิวยอร์กปีที่แล้ว ผมขอให้ทีมงานช่วยต่อคอมแล้วก็โน้ตบุ๊คเก่าๆ ที่ผมมีตอนอยู่ที่โซลแล้วก็นั่งหาแล้วก็หาเจอครับ กลับกลายเป็นว่า คอมที่ผมเคยใช้เครื่องที่สองและสาม มันสภาพเหมือนกันก็เลยหาไม่เจอ เพราะว่าไม่ได้หาในนั่นตอนแรก (หัวเราะ)

Q: คุณนั่งขุดความทรงจําเก่าๆ จากนักเรียนมัธยมต้นที่ฝันอยากจะเป็นโปรดิวเซอร์ จนได้กลายมาเป็นจริงๆ คุณทํามันได้ยังไง? “Seesaw (เวอร์ชั่นสาธิต)” ไม่ได้ทําในรูปแบบที่ได้รับความนิยมจากคนจํานวนมากในเกาหลีเช่นกัน ผมสงสัยว่าคุณเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน

SUGA: เมื่อผมยังเด็ก ผมอยากเป็นแร็ปเปอร์ และ โปรดิวเซอร์ และตอนนี้ผมสามารถทําทั้งสองอย่างได้ตามต้องการ ดังนั้นผมเลยทําทุกอย่างตอนนี้ที่ละอย่าง นั่นเป็นสาเหตุที่ผมใช้นามปากกาหลายอัน ผมต้องการแยกมันออกจากกัน เขาสามารถทําสิ่งนี้ได้ด้วยหรอ? เขาทําแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? เขาทําเพลงโฆษณาได้ด้วยเหรอ? ผมโชคดีมากที่ได้พบกับศิลปินที่น่าอัศจรรย์มากมายในฐานะโปรดิวเซอร์ชูก้า ดังนั้นผมคิดว่าผมโชคดีจริงๆ ที่ได้มีเส้นทางอาชีพนี้

Q: การทํางานใน “My Universe” กับ Coldplay มีอิทธิพลต่อคุณอย่างไร? Chris Martin เดินทางมาที่เกาหลีเพื่ออัดเพลงกับพวกคุณโดยเฉพาะ

SUGA: ตอนแรกผมก็แบบว่า (หัวเราะ) ผมหมายถึง เพราะมีโรคระบาด มันอาจจะดีกว่าถ้าเกิดว่าแยกแล้วส่งเพลงให้กัน และผมก็ชอบงานเพลงของ Coldplay แต่ผมก็ไม่รู้ว่า Chris Martin ใช้ชีวิตแบบไหน แต่เราได้เจอกันและได้พูดคุยกัน และเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากเราเลยจริงๆ เขากับผมแชร์ประสบการณ์เดียวกัน เมื่อเราพูดถึงชีวิตประจําวันและความกังวลต่างๆ ผมตระหนักได้ว่า ศิลปินทุกคนที่แสดงทัวร์คอนเสิร์ตในสเตเดียมประสบกับปัญหาคล้ายๆกัน มันรู้สึกดีนะรู้ว่าผมเป็นเพื่อนกับคนแบบเขาได้

SUGA : “ผมจะทํางานเฉพาะกับคนที่ขอมาและความคิดตัวเองลงไปด้วย คุณได้รับแรงบันดาลใจและพลังจากสิ่งนั้นอย่างแน่นอน”

Q: ผมรู้สึกเหมือนคุณและ PSY มีอิทธิพลซึ่งกันและกันผ่าน “That That (prod. & feat. SUGA of BTS)” เรารู้อยู่แล้วว่าคุณโปรดิวซ์และร่วมร้องในเพลง แต่คุณมีแอร์ไทม์เยอะในมิวสิกวิดีโอด้วย (หัวเราะ)

SUGA: ผมแค่จะเขียนเพลงแล้วก็หายตัวไปครับ แต่ว่าเขาพูดว่า นายก็เคยมีประสบการณ์ร่วมร้องเพลงอื่นด้วยใช่ไหม ผมก็แบบว่า ร่วมร้องมันก็โอเค.. แล้วผมก็ทํามัน แล้วเขาก็พูดว่ามันก็คงจะแปลกๆ ถ้าเกิดว่านายไม่ได้อยู่ในมิวสิกวิดีโอ ละพูดว่ามาลองดูแล้วก็ดูว่าออกมาเป็นยังไง แล้วผมก็พูดว่าผมแค่จะลองท่อนนึงแค่นั้น แต่อยู่ๆ ผมก็เข้ามาเต้นด้วยเฉยเลยครับ (หัวเราะ) เขาให้ผมดูเวอร์ชั่นคร่าวๆ และพูดว่า “ชอบอะไรก็ทําแค่นั้น” ผมก็เลยทํามัน และผมคิดว่ามันสนุกเพราท่าเต้นมันไม่เหมือนกับเพลงก่อนของเรา ผมร่วมแสดงในมิวสิควิดีโอเพื่อให้อาร์มี่ครับ (หัวเราะ)

Q: สไตล์ของ PSY นั้นชัดเจนมาก แล้วคุณมาร่วมงานกับเขาได้ยังไง? เป็นการร่วมงานที่น่าสนใจมาก

SUGA: ใช่ไหมครับ ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้น ผมได้ทำเพลงต่างๆ ในฐานะโปรดิวเซอร์ แต่คนที่ไม่ใช่อาร์มี่รู้จักแค่เพลงที่ดังๆ แล้วเพลงพวกนั้นก็เป็นเพลงของศิลปินแบบไอยูหรือ Heize ผมเลยคิดว่าพวกเขาคงคิดว่าเพลงมีอารมณ์ที่คล้ายกัน แต่ผมก็มีเพลงก่อนหน้านี้ที่อยากจะเอาใส่ในอัลบั้ม แต่ว่าทําไม่ได้แล้วก็คิด ว่ามันคงเหมาะกับ PSY ตั้งแต่แรก

Q: ดังนั้น PSY เลยกลายมาเป็นลูกค้าของคุณ เขาขออะไรเป็นพิเศษไหม

SUGA: ตอนแรกผมแค่อยากจะให้เพลงเขา แต่เขาก็มีคอะไรมาบ้าง ผมก็เลยลองปรับแต่ง และมันก็คือจังหวะที่คุณได้ยินวันนี้ กระบวนการของการปรับเปลี่ยนไปมามันสนุกมาก ตอนแรกผมแค่อยากจะลองเปิดให้เขาฟังแต่ถ้าเค้าไม่ชอบก็จะปล่อยมันไป แต่ PSY บอกว่าเขาทำเพลงมา 22 ปีแล้ว และตอนนี้เขาต้องการคนรุ่นใหม่ และบอกว่าเขาต้องการทําเพลง ผมว่ามันสนุกมากเลยครับ และไม่ว่าเค้าพยายามที่จะไม่ใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในเพลง

Q: เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เพลงมันต่างจากสไตล์ปกติของ PSY แต่ก็สัมผัสได้ว่าขาเอาสไตล์ตัวเองใส่ไปในเพลง

SUGA: ผมเขียนท่อนและท่อนฮุค “that that I like that” ซึ่งให้ความรู้สึกว่าเป็นแบบของผม แล้วผมก็ใส่ท่อนแร็พให้คนฟัง เพราะมันผ่านมาสองปีตั้งแต่ผมปล่อย D-2 เพราะว่าผมอยากจะให้คนได้ฟังอะไรที่คล้ายคลึงกับมิกค์เทปของผม แต่ทํานองที่ PSY เขียน มันคือเพลงของเขาเลยครับ เราแบ่งงานกันและแต่งเพลงแยกกันแต่ผมได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะ มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สําหรับผมมาก มีบางอย่างเกี่ยวกับทัศนคติของเขาเวลาทําเพลงที่โดนใจผม

Q: โปรดิวเซอร์ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าเมื่อทําเพลง ซึ่งนําไปสู่เพลงที่แตกแขนงออกและแตกต่างจากงานส่วนตัวของคุณ

SUGA: นั่นเป็นวิธีที่ผมสบายใจที่สุด ตอนทําเพลงของตัวเองมันยากมากเลยครับ (หัวเราะ) คุณต้องคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา และถามตัวเองว่าคุณต้องการสื่ออะไรกับมัน ผมมีปัญหาในการจัดระเบียบความคิดของผมในอดีต เพราะมีหลายอย่างที่ผมอยากจะพูด แต่ตอนนี้การไม่รู้ว่าจะพูดอะไรมากกว่าที่ยาก อันที่จริงนอกจากเพลงในเกมหรือเพลงสําหรับโฆษณา ผมจะทํางานเฉพาะกับคนที่ขอมาและความคิดตัวเองลงไปด้วย คุณได้รับแรงบันดาลใจและพลังจากสิ่งนั้นอย่างแน่นอน

Q: คุณทําเพลง “Stay Alive” สําหรับเว็บตูน 7FATES: CHAKHO คุณมีแนวทางในการทํางานด้านดนตรีสําหรับซาวด์แทร็กอย่างไร? เพลงให้ความรู้สึก OST มาก

SUGA: สําหรับผม ตอนทํางานนอกผมมักจะปรับแต่งมันให้เข้ากับลูกค้า ดังนั้นสําหรับเพลงนั้น ผมให้ความสําคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและไม่ลืมที่จะคิดว่ามันเป็นเพลงประกอบ

SUGA : “ไม่ว่ายังไงเพลงต้องออกมาดี ผมจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการทําเพลงนั้น”

Q: ผมเข้าใจว่าคุณต้องทําให้เพลงเข้ากับงาน แต่ไม่ว่าจะจบลงด้วยการที่มันเข้ากันคืออีกเรื่องหนึ่งเลย (หัวเราะ)

SUGA: ผมนึกถึงเรื่องนี้เสมอในขณะที่ทํางาน ผมมักจะมอง ภาพรวมก่อน เพราะว่าผมเป็นคนที่สร้างกรอบและค่อยๆ ทํามันขึ้นมา อย่างไรก็ตามเนื้อหาที่ต้องการเพลงนั้นสําคัญที่สุด ดังนั้น ไม่ว่ายังไงเพลงต้องออกมาดี ผมจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการทําเพลงนั้น และผมตั้งใจเขียนเนื้อเพลง “Stay Alive” ให้ดูมากไปเล็กน้อย และผมอ่านเว็บตูนและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและใช้ไวยากรณ์ที่ปกติแล้วผมไม่ได้ใช้

Q: การเรียบเรียงเพลงก็น่าสนใจมากเช่นกัน มีอารมณ์ที่เคร่งขรึมและมืดมนคล้ายกับเพลงที่มักพบใน OST อื่นๆ จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสไตล์ที่ชวนให้นึกถึง the Weekend และส่วนที่จองกุกร้องแร็พกับจังหวะของคุณ ดูเหมือนว่าคุณได้รวบรวมลักษณะของสไตล์ที่แตกต่างกันและรวมไว้ในเพลงเดียวในลักษณะที่เหมาะสม

SUGA: ตั้งแต่ผมยังเด็กทุกครั้งที่ผมเขียนเพลง ผมให้ความสําคัญกับการเรียบเรียงเป็นอย่างมาก ผมมองเพลงเป็นอะไรขนาดใหญ่ เรื่องการเรียบเรียงดนตรีที่ผมใช้ในท่อนแรก ดนตรีในท่อนคอรัส และดนตรีในท่อนสอง บางท่อนก็ยังเหมือนเดิม แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็พยายามสลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีบางครั้งที่ผมปรับเปลี่ยนดนตรีบ่อยกว่าปกติ ไม่รู้มีใครสังเกตได้ไหม (หัวเราะ)

แต่ผมมักจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาก เพลงป๊อปมีความยาวที่สั้นขึ้นในปัจจุบัน และไม่ง่ายเลยที่จะใส่การปรับเปลี่ยนให้ทันกับเวลาเท่านั้น ผมลองทํานั้นนี้ ใส่องค์ประกอบนี้ลงไปให้ดูน่าสนใจ สําหรับคนตั้งใจฟัง ผมจะลองเปลี่ยนแหล่งที่มา เพลงที่ผมโตมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งองค์ประกอบทุกรูปแบบ แม้แต่เพลงที่มีบีตฮิปฮอปเหมือนกัน วิธีใหม่ใช้ไม่ได้ แต่ผมพยายามที่จะใส่ใจมันให้มากขึ้น

SUGA : “แต่ผมต้องการที่จะทําเพลงจนวันที่ผมตาย”

Q: ผู้คนรู้จักคุณก่อนในฐานะแร็ปเปอร์ใน BTS แต่คุณก็เติบโตในฐานะโปรดิวเซอร์ด้วย

SUGA: ใช่ครับผมโชคดี เมื่อเร็วๆนี้ ผมมานั่งคิดเรื่องแนวเพลงที่ผมควรทําตอนที่ผมแก่ขึ้นและนั่นคือ การที่ผมควรจะลองสไตล์ต่างๆในตอนนี้ (หัวเราะ) ผมคิดว่านี่เป็นทั้งพรและคําสาป แต่ผมคิดว่าในขณะที่ผมสามารถทํางานในประเภทต่างๆ ได้ ผมไม่แน่ใจว่ามันลึกผซึ่งขนาดนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพยายามใช้สไตล์ต่างๆ มากมาย และตอนโปรโมตเนื้อหาของตัวเอง ผมก็ใส่หลายๆ อย่างที่ผมชอบลงไป เช่นเซอร์ไพรส์และอะไรที่น่าตกใจ ทุกวันนี้ผมเริ่มอยากจะทําสิ่งต่างๆ อีกครั้ง และนั่นทําให้ผมทั้งกังวลและตื่นเต้น

Q: คุณจะบอกว่ามุมมองด้านโปรดิวเซอร์ของคุณมีผลต่อ เพลงเดี่ยวของคุณด้วยไหม เช่นผลงาน Agust D ของคุณ

SUGA: ผมคิดว่าเมื่อผมออกอัลบั้มโดยใช้ชื่อ Agust D นั่นเป็นงานเดี่ยวที่โปรโมตคนเดียว และผมรู้สึกว่าผมควรใช้รูปแบบเดียวกันกับที่วงทําปกติตอนโปรโมตโดยมีซิงเกิลนำและเพลงรอง เมื่อเร็วๆ นี้ผม กําลังคิดอยู่มากว่าบางทีผมควรจะถ่ายมิวสิกวิดีโอสองเพลง อันหนึ่งแค่ภาพ ในขณะที่อีกอันหนึ่งเน้นที่ประสบการณ์การฟังมากกว่า อา ผมควรทําไงดีนะ ผมกําลังทํางานอย่างหนักกับ D-2

Q: หากเราจะเปรียบเทียบคุณกับเนื้อเพลง “Yet To Come” จาก Proof ดูเหมือนว่าคุณยังเหลืออะไรอีกมากที่จะโชว์มากกว่า “ช่วงเวลาที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง”

SUGA: ผมเริ่มคิดว่านั้นเป็นอาวุธลับของผม ผมลองเพลงในสไตล์ต่างๆ ใน D-2 ด้วย ผมรู้สึกว่าผมอาจจะไม่สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงแนวใดแนวหนึ่งได้ แต่ผมสามารถลองหลายอย่างได้ ยังมีอีกมากที่ผมอยากทํา ผมไม่รู้ว่าจะทําเพลงประเภทไหนตอนช่วงอายุ 30, 40 หรือ 50 แต่ผมต้องการที่จะทําเพลงจนวันที่ผมตาย ผมเป็นคนที่สามารถลองได้หลายแบบ ดังนั้นผมเริ่มกังวล น้อยลงเมื่อนึกถึงเพลงที่ผมจะทําหลังจากนี้ (หัวเราะ)

Q: แล้วคุณอยากมอบอะไรให้อาร์มี่และทุกคน ที่ฟังเพลงของคุณ ในขณะที่ทําเพลงมาทั้งชีวิต?

SUGA: ผมเคยให้ความสําคัญกับดนตรีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเด็ก แต่ตอนนี้ผมพยายามมากที่จะไม่ให้ความสําคัญกับมันมากไป มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งสําหรับสิ่งนึง แต่ในจุดนึงเราก็จะมากลายเป็นคนรุ่นหนึ่งที่เพลงของเขากลายเป็นเพลงประกอบ ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี มันแค่สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ และยังไงก็ตาม ผมว่ามันมีความแตกต่างระหว่างนักดนตรีที่รู้ และไม่รู้ว่าทําไมเขาทําเพลง ผมคิดแบบนี้ คนที่ฟังเพลงของผม หมายถึง ในช่วงหนึ่ง ผมว่าการเป็นแฟนของอะไรสักอย่างมันเป็นสิ่งที่ต้องทําในชีวิต

คุณอาจจะชอบคนหรือกีฬาอะไรก็ได้ ผมว่าการได้เป็นแฟนมันสําคัญ เพราะมันทําให้ชีวิตนั้นสนุกเหมือนกับการที่รู้สึกตื่นเต้นกับรอบตัดเชือกของ NBA ทันทีที่คุณลืมตาขึ้นในตอนเช้า บางคนก็จะรู้สึกตื่นเต้นสําหรับวันที่เพลงของผมถูก ปล่อยออกมาและการแสดงของผมในชีวิตมันไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นมากมาย แต่สําหรับคนที่ชอบเพลง ผมหวังว่าพวกเขาจะตื่นเต้นกับมัน ตื่นเต้นเวลาที่เพลงมันถูก ปล่อยออกมาตื่นเต้นเวลาที่ผมโปรโมทและตอนไปทัวร์คอนเสิร์ต ผมว่าพวกเขาจะตื่นเต้นสําหรับทุกอย่างเพื่อที่ ให้ผมได้มอบความหมายในชีวิตให้กับพวกเขาในทุกๆ วัน

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS Proof J-Hope

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> โหลดเกมส์

>>>>>> สมัครสมาชิก คลิ๊ก