Weverse Magazine J-Hope Pt.2

Weverse Magazine J-Hope Pt.2 BTS BE comeback interview “JHOPE”

Weverse Magazine J-Hope Pt.2 BTS BE comeback interview 2020.11.24

Weverse Magazine J-Hope Pt.2 แปลบทสัมภาษณ์ของ J-Hope ใน Weverse Magazine ฉบับแรกของบังทัน โดยเป็นการพูดถึงการคัมแบคอัลบั้มอย่าง BE ว่าพวกเขามีการทำงานกันอย่างไร และในฐานะที่เขาเป็นเมนแดนซ์ของวง และการมีส่วนร่วมของเขาในอัลบั้มครั้งนี้ จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้

Weverse Magazine J-Hope Pt.2 บทสัมภาษณ์ Pt.1 : ผมคิดว่าอัลบั้มของ BTS เป็นเหมือนเงาสะท้อนของพวกเราทั้งหมดครับ

Weverse Magazine J-Hope Pt.2

  • Q: มีหลายอย่างเกิดขึ้นในปีนี้เลยนะ

JH: เหมือนกับที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้น่ะครับ ว่าปีนี้เหมือนกับรถไฟเหาะเลย เริ่มจากเราได้ขึ้นแสดงที่งานแกรมมี่ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก จากนั้นอัลบั้ม Map of the Soul: 7 ก็ถูกปล่อยออกมา นั่นก็เยี่ยมมากอีกเหมือนกันครับ หลังจากนั้นก็วูบเลย พอเกิดโควิด

ผมคิดอะไรมากมายเลยครับ ได้ลองเรียนจากนั้นก็อย่างที่ทุกคนได้เห็นกัน ก็คือ“Dynamite” ครับซึ่งผลที่ออกมาก็ยอดเยี่ยมมาก หลังจากนั้นก็วนกลับไปเป็นแบบเดิมอีก รถไฟเหาะนี่น่ากลัวนะครับ แต่พอเราลงมาแล้วเราก็จำไม่ลืมเหมือนกัน นั่นคือที่ผมรู้สึกในปีนี้เลย น่ากลัว แต่ก็น่าจดจำครับ

  • Q: หนึ่งในสิ่งที่น่าจดจำมากๆในปีนี้คงจะเป็นการที่เพลง “Dynamite”ได้ขึ้นไปอยู่อันดับสูงที่สุดบนชาร์ตบิลบอร์ด แม้ว่าคุณจะไม่มีโอกาสได้ไปแสดงที่อเมริกาเลย

JH: ในตอนแรก พวกเราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะดูผลยังไง ตอนนั้นพวกเราหลับไปแล้วครับ ตื่นมาดูอีกก็เห็นว่าเพลงเราขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้ว แต่หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องรีบไปทำงานต่อเลยครับ (หัวเราะ) เรามีถ่ายรายการที่นี่แหละครับ ที่เกาหลี ยากนะครับที่จะรู้สึกดีใจ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ก็โอเคครับ อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ยินดีกับมันด้วยกันในจังหวะนี้

  • Q: คุณน่าจะมีความคิดอะไรเยอะมากมายเต็มไปหมด ถึงได้ทำออกมาเป็นอัลบั้ม BE ในปีนี้

JH: ผมคิดว่าอัลบั้มของ BTS เป็นเหมือนเงาสะท้อนของพวกเราทั้งหมดครับ ตอนนี้ผมแค่คิดถึงสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันออกไป ทำเพลง และใส่ตัวตนของผมลงไปในอัลบั้มใหม่นี้ ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็น BTS อยู่ ก็เลยได้ออกมาเป็นแนวสบายๆที่ยังคงสไตล์ BTS ครับ ทั้งทีมร่วมมือกันทำงานกันและเป็นแรงผลักดันให้กันและกันเป็นอย่างดีเลยครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : “เฮ้ ยังไงเราก็ยังต้องทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เรายอมแพ้ไม่ได้”

Weverse Magazine J-Hope Pt.2

  • Q: อะไรที่ทำให้ความคิดของคุณตกผลึกออกมาในทิศทางนั้น

JH: เราเริ่มจากการพูดคุยกันก่อนครับว่าเราอยากจะเล่าเรื่องราวแบบไหน ก็จบลงที่ว่า “เฮ้ ยังไงเราก็ยังต้องทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เรายอมแพ้ไม่ได้” จากนั้นเพลง “Life Goes On” ก็เกิดขึ้นครับ หลังจากนั้นเราก็ทำงานโดยหยิบยกเรื่องราวที่เราอยากจะเล่ามันออกมา ผมว่ามันฟังดูดิบ ดูสดใหม่มากกว่าเดิมครับ เพราะว่าเราพยายามดึงเอาสิ่งที่เรากำลังรู้สึกออกมาจริงๆในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาดนี้

  • Q: พอจะจินตนาการได้เลยว่า คงมีอีกหลายเพลงที่คุณอยากจะเอาเข้าไปรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็มีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่บ้าง คุณมีวิธีในการหาตรงกลางของทุกๆคนยังไงกว่าจะได้ออกมาเป็นผลงานเพลงที่สมบูรณ์

JH: มันไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ เราต่างฟังเพลงของพวกเราก็จะมีคนใดคนนึงถามขึ้นมาว่า “เฮ้ มีใครอยากลองอันนี้มั๊ย?” ก็จะมีอีกคนตอบรับมาว่า “ฉันๆ ฉันจะลองดู” ปกติเราทำกันแบบนี้ครับ บางทีก็มีเถียงกันบ้าง พอเริ่มมีคนขึ้นเสียง บางทีก็ยากที่จะหาตรงกลางด้วยกันนะครับ แต่ว่าด้วยความที่เราสื่อสารกันเป็นอย่างดีมาตลอด พวกเราเลยรู้ว่าตอนไหนจะต้องถอย ตอนไหนต้องเย็นลง มันเลยทำให้การทำงานง่ายขึ้น รวมไปถึงการทำเพลงยูนิตของพวกเราด้วย

  • Q: คุณเลือกเพลงใส่ในอัลบั้มยังไง? อย่างอัลบั้มนี้คุณเลือกใส่เพลง “Dis-ease”

JH: ตอนที่เราทำงานด้วยกันมีอยู่เพลงนึง มีเมมเบอร์พูดขึ้นมาว่า “เพลงนั้นมันไม่ค่อยดีเลยเนอะ ใช่มะ? เพลงของจองกุกอันนั้นดีกว่าอีก” แล้วเราก็เปลี่ยน เพลงกำลังจะอัดเสร็จแล้ว เราก็ได้คุยกับทางค่ายแล้ว สุดท้ายก็เปลี่ยนเอาอีกเพลงออกมา เราลองฟังเพลงด้วยกันแล้วแบบ”เพลงนี้ล่ะ เป็นไง?” นี่คือวิธีที่เราใช้ในการตัดสินใจ พอเพลง Life goes on เสร็จ

ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเพลง Dis-ease จะได้อยู่ในอัลบั้ม เราเลือกเพลง 7 เพลงจากเมมเบอร์แต่ละคนส่งให้จีมินที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลโปรเจ็ค จีมินแนะนำให้พวกเราลองฟังเพลงก่อนแล้วค่อยไปเอาฟีดแบ็คจากคนอื่นๆในบริษัท ผมว่าเมมเบอร์ทุกคนรู้สึกได้ว่าเขาทำเต็มที่kdเหมือนเป็นงานของเขาเองเลยครับ

  • Q: คุณได้ไอเดียในการทำเพลง Dis-ease มาจากไหน?

JH: ตอนแรก เราเริ่มจากแนวคิดที่ว่า เพลงนี้จะพูดถึงการเจ็บป่วย ตอนเริ่มทำเพลงผมเริ่มจากท่อนคอรัสก่อนแล้วค่อยไปที่ท่อนแรก พอเสร็จท่อนแรกก็รู้สึกว่าจังหวะเพลงนี้จะสนุกๆนิดนึง แต่ผมไม่อยากให้มันดูสนุกจนเกินไป ไม่งั้นมันจะสื่อสิ่งที่ผมรู้สึกออกมาไม่ได้ครับ แต่ด้วยเนื้อหาของเพลง Dis-ease มันไม่ได้เบาๆ สบายๆขนาดนั้น

ดังนั้นพอมันผสมเข้าไปกับจังหวะทำนอง มันให้ความรู้สึกว่า พยายามจะก้ามข้ามผ่านมันไป และมองโลกในแง่บวกให้ได้ ผมเลยใส่เสียงแสครชแผ่นเข้าไปที่คอรัส แล้วก็ใส่เสียง “bbyap bbyap bbayp” (แหม่ะไม่รุ้จะพูดเสียงภาษาไทยยังไงน่ะ) ตอนนั้นก็เลยได้ไอเดียว่า “อ๊า งั้นจะให้เพลงนี้ชื่อว่า Dis-ease ดีกว่า”

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : ด้านดีของดนตรีคือการที่ผมสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจผม ไม่ว่าจะเสียใจ โศกเศร้า ออกมาได้อย่างสละสลวย

Weverse Magazine J-Hope Pt.2

  • Q: ไม่คิดเลยว่าคุณจะทำเพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด เปรียบเทียบงานเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ เชื่อว่าหลายคนมองว่าคุณเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกตลอดเวลา เป็นคนที่เต็มไปด้วยความหวังเหมือนกับชื่อของคุณ

JH: ผมมัวแต่ยุ่งไปกับการคิดงานมากเกินไป อย่างที่เห็นๆกันอยู่ครับ อยู่ดีๆทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดเลย อะไรที่เคยทำได้ก็ทำไม่ได้แต่ก่อนตอนทำงาน ผมบ่น “โอ๊ย อยากจะพักบ้าง” แต่พอเอาเข้าจริงมันกลายเป็นว่าพวกเราบ่นว่า “โอ้ยย อยากทำงานแล้วว” ยิ่งทำให้ผมยิ่งคิดมากเข้าไปอีกว่า

ทำไมมันหงุดหงิดจังนะ ทั้งๆที่มีเวลาพัก ก็พักไปสิ ทำไมผมยังอยากทำงานในสภาวะแบบนี้นะ ? นี่ผมป่วยปะเนี่ย ?” เลยรู้สึกว่าเพลงนี้คือการได้พูดในสิ่งที่ผมรู้สึกในตอนนั้นครับ

  • Q: เป็นครั้งแรกที่เนื้อเพลงของคุณพูดถึงความยากลำบากในการที่คุณต้องกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ มันทำให้สงสัยว่า คุณรู้สึกว่างานมันเป็นภาระของคุณมากมั๊ยในตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา

JH: ปกติแล้วผมชอบจะชอบพูดว่า“ผมโอเค ผมว่ามันยังมีหวังอยู่นะ” แล้วก็พยายามต่อ แต่ผมว่านั่นน่าจะเป็นการหนีปัญหาที่เกี่ยวกับงานของผมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆมากกว่าครับ ด้านดีของดนตรีคือการที่ผมสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจผม ไม่ว่าจะเสียใจ โศกเศร้า ออกมาได้อย่างสละสลวย ปกติผมไม่ค่อยแสดงความรู้สึกด้านนี้ออกมาหรอกครับ แต่ครั้งนี้ก็อยากจะลองดู

  • Q: ฟังดูเหมือนคุณมีความคิดแตกต่างกันมากมายเลยนะเกี่ยวกับงานของคุณ

JH: กับงานหรอครับ? อืมม.. ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ งานก็เหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ครับ(เข้าใจว่ามีสองด้านนะคะ) งานมอบพลังงานที่ดีๆให้ผม แต่มันก้มีพลังงานบางอย่างที่เราจะได้จากการพักผ่อน คนบางคนที่เป็นแบบผม จะรู้สึกมีชีวิตชีวาเมื่อเขาได้ทำงาน ผมก็เลยอยากที่จะทำมันไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกกังวลนะครับ เมื่อผมหยุดทำงาน และจะรู้สึกดีขึ้นถ้าทำงาน แต่บางครั้งก็มีนะ ที่รู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้วแต่ก็หยุดทำไม่ได้น่ะครับ

  • Q: คุณจะหมายถึงว่า งานกับคุณก็คือไปด้วยกันได้ดี ?

JH: ใช่แล้วครับ ง่ายกว่านะถ้าไม่คิดอะไรซับซ้อน ถ้าคิดมากไปมันก็ทำให้อะไรๆมันยากขึ้น เพราะนี่ผมไง ผมจะไม่คิดอะไรเลยตลอดเวลาก็ไม่ได้ แต่ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะทำให้ดีที่สุดแล้วล่ะครับ

  • Q: แปลว่า การไม่คิดอะไรมากไม่ได้แปลว่ามันจะดูง่ายๆเสมอไป?

JH: ช่ายยยครับ บางทีอาจจะเพราะผมไม่ได้เจอปัญหาอะไรหนักๆมากนัก เลยรู้สึกว่าเป็นเพราะแบบนั้นรึเปล่า ไม่แน่ใจว่า มันจะส่งผลต่อตัวตนของผมมั๊ยถ้าเกิดต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเข้าจริงๆ

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกขอบคุณเมมเบอร์ทุกคนมากๆขึ้นไปอีกครับ

  • Q: BTS เองก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลยใช่มั๊ย?

JH: นั่นก็ถูกนะครับ (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ว่าที่ทีมไปต่อได้ เพราะมีแค่ผมที่คอยให้กำลังใจอยู่ฝ่ายเดียวนะครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะพวกเรามีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน ผมสงสัยว่าพวกเราจะมาไกลขนาดนี้ได้ไง ถ้ามีแค่ผมพูดว่า “เอาเลยพวกเรา ลุยย!!” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกขอบคุณเมมเบอร์ทุกคนมากๆขึ้นไปอีกครับ

  • Q: ความรู้สึกอารมณ์พวกนั้น ส่งผลกับดนตรี งานเพลง ของคุณมั๊ย?

JH: ผมไม่อยากทำเพลงที่ดูให้กำลังใจจนเว่อร์เกินไปในช่วงเวลานี้ น่าจะดีกว่าถ้าผมทำเพลงสบายๆ ที่บอกเล่าในสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ในช่วงนี้ ผมเลยเลือก Dis-ease เหมือนกับ Fly to my room เมมเบอร์คนอื่นก็คิดเหมือนกันว่าเราทำเพลงที่มันสดใสมาเยอะแล้ว ลองมาทำเพลงแนวนี้บางก็น่าจะโอเคนะ Blue&Grey ก็ด้วย ผมรักเพลงนั้นนะ

  • Q: ท่อนแรพในเพลง “Blue & Grey” ของคุณแตกต่างไปจากปกติ สไตล์การแรพของคุณเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของคุณด้วยรึเปล่า?

JH: พวกอยากให้ในเพลง “Blue & Grey” ฟังดูเหมือนการพูดครับ น้ำเสียง ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปเยอะครับขึ้นอยู่กับว่าวิธีแรพของผมเป็นยังไง เห็นได้ชัดเจนในครั้งนี้เลยครับ นัมจุนช่วยผมเยอะมากก ท่อนของเขาอยู่ต่อจากผม เขาบอกเขาผมว่า “มันน่าจะเพราะขึ้นนะถ้าผมทำแบบนี้”แล้วผมก็ลองทำ จากนั้นผมก็เอาคำแนะนำของเขามาใช้แล้วก็เจอจุดที่มันใช่ครับ

  • Q: รู้สึกยังไงบ้างที่แนวเพลงครั้งนี้ต่างไปจากแนวเดิมของคุณ?

JH: รู้สึกดีมากครับ ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะไม่เวิร์คแต่ผมก็ทำนะ ผมมีความรู้สึกมาตลอดเลยว่าต้องลองทำอะ สำหรับผม BE เป็นก้าวแรกที่ผมก้าวไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มันค่อนข้างท้าทายครับ แต่อีกด้านมันก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีนะครับ

  • Q: ฉันคิดว่าการเปลี่ยนเทคนิคในการแรพของคุณในเพลง Dis-ease ทำออกมาได้ดีเลย คือแทนที่จะพยายามแรพให้ลงกับจังหวะอย่างเดียว แต่โฟลว์ของคุณไหลลื่นไปกับเรื่องราวที่คุณอยากจะเล่าด้วย

JH: คือผมพยายามไม่คิดมากจนเกินไป มันเลยออกมาเป็นธรรมชาติเพราะว่าผมแค่จับทำนองให้ตรงกับคำที่ผมร้องออกมาเท่านั้นเลย มันเลยดูเป็นอะไรที่สดใหม่มากๆ เพราะผมไม่เคยทำอะไรแบบที่ผมได้ทำในเพลง “Dis-ease” มาก่อนเลย ปกติเวลาที่พวกเราแรพจะพยายามแรพให้ลงพอดีที่ 4 บาร์ หรือ 8 บาร์ แล้วจะพยายามจบท่อนที่ 16 บาร์ ซึ่งวิธีนั้นก็ช่วยทำให้ได้เนื้อเพลงเพิ่มขึ้นมาเพื่อลงพอดีกับจังหวะนะครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : แต่ในฐานะที่ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมก็อยากจะปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่สามารถพูดได้ออกมาในเพลงครับ

  • Q: ทำนองดนตรีของเพลง Dis-ease ทำให้เพลงนี้ออกมาฟังจังหวะสนุกๆ แต่กลับซ่อนข้อความที่ทำให้ประหลาดใจมากๆแบบ “เอาตรงๆเลยนะ ฉันมีปัญหานี้อยู่” เลยดูเหมือนกับคุณพยายามยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ออกนอกกรอบที่เคยทำจนเกินไป

JH: ก็ประมาณนั้นแหละครับ เราไม่ควรรักษามาตรฐานไว้แบบนี้หรอ? บางทีนั่นอาจจะเป็นอาการป่วยของผมเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ผมคิดว่าถ้าเจโฮป เลือกทำสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง คนก็คงมองว่าแปลกๆเหมือนกัน เป็นเหตุผลที่ทำไมผมยังพยายามรักษามาตรฐานของผมไว้ แต่ในฐานะที่ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมก็อยากจะปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่สามารถพูดได้ออกมาในเพลงครับ

  • Q: ไม่อยากลองออกนอกกรอบมาทำอะไรใหม่ๆหรอ ?

JH: ผมลองคิดๆดูแล้วนะครับว่าจริงๆผมก็อยากลองนะ แต่ว่าในชีวิตจริงๆของผม ในความคิดของผม ผมคิดมาตลอดเลยว่า ถ้าเกิดมีเส้นกั้นอยู่ตรงหน้า เราก็ไม่ควรข้ามไปรึเปล่า แต่ผมก็พยายามใจดีกับตัวเองมากขึ้นนะครับโดยการลองออกจากกรอบของตัวเองบ้างถ้าเป็นในแง่ของการทำงานดนตรี

  • Q: ก็แปลว่าคุณยังไม่ได้ลองก้าวข้ามเส้นนั้นมาซะทีเดียว แต่คุณบอกว่า “คุณยังมีอย่างอื่นให้ได้ลองทำอีกนะ” แล้วก็พัฒนาตัวเองไปให้ไกลขึ้น

JH: ใช่ครับ นี่อาจจะเป็นตอนที่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมโชคดีที่รายล้อมไปด้วยคนเก่งๆ ผมประสบความสำเร็จ และได้มายืนอยู่ในจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ตัวผมในตอนนี้ อยากที่จะทำอะไรใหม่ๆและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตั้งใจทำงานอย่างหนักและ ตั้งใจทำผลงานดนตรีในแบบที่ผมควรทำครับ

  • Q: มีท่อนนึงในเพลง“Fly to My Room”ที่คุณร้องว่า “ความคิดคนเรามันเปลี่ยนกันได้” เหมือนกับคุณกำลังอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณในช่วง 7 ปี ที่ผ่านมา

JH: ขึ้นอยู่กับว่าจะมองยังไงนะครับ เหมือนการทานอาหารบางประเภทแหละครับ ที่ถ้าไปกินคนเดียวก็อาจจะรู้สึกเหงา แต่ถ้าตัดความเหงาออกไปก็จะพบว่า อาหารก็ไม่ได้รสชาติเปลี่ยนไปเลยครับถ้าเทียบกับเวลามานั่งกินกับคนอื่นๆ

มันก็ยังเหมือนเดิม แม้ว่าบางทีผมจะรู้สึกเหงาตอนอยู่ที่บ้าน แต่ผมก็พยายามคิดว่าตอนนี้กำลังออกทริปอยู่แทน ผมจินตนาการว่า ในห้องผมคือโลกของผม อาหารที่ผมสั่งมาส่งที่บ้านคืออาหารโรงแรมระดับ 3 ดาว ก็ตามชื่อเพลงเลยครับ ผมทำเพลงนี้จากแนวคิดที่ว่าผมจะอดทนผ่านปีนี้ไปได้ยังไง

  • Q: ทำไมถึงคุณถึงตัดสินใจ “เปลี่ยนวิธีคิดของคุณ” ล่ะ?

JH: เพราะว่าผมได้รับความรักมากมายไงละครับ เพราะผมยืนอยู่ตรงนี้ มีบางสิ่งบางอย่างที่ผมต้องจัดการกับมัน ผมควรจะทำในสิ่งที่คิดว่าผมสามารถจะรับมือได้ ผมครุ่นคิดอยู่นานและจบที่ยอมรับมันครับ ผมเลยมานั่งคิดว่าผมทำอะไรได้บ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ผมพอจะช่วยเพื่อนๆช่วยทีมยังไงได้บ้าง แต่มันคืออะไรที่ “กำลังจะลงมือทำ…” เพราะว่าผมอาจจะมารู้ทีหลังก็ได้ว่าผมต้องทำอะไรหลังจากที่ผมรู้ว่าตัวผมทำอะไรได้บ้าง ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังไม่รู้ก็ตาม

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : ผมลองคิดว่าสำหรับแฟนๆมันจะเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าพวกเรายอมแพ้ เพียงเพราะแค่เราเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก

  • Q: ความรักมากมายที่คุณได้รับส่งผลยังไงกับตัวคุณบ้าง?

JH: มันเยี่ยมมากเลยนะครับเวลาที่เราได้รับความรักจากคนๆนึง ขนาดแค่จากคนๆเดียวความรักมันก็สวยงามมากแล้วนะครับ แต่นี่พวกเราได้รับความรักจากผู้คนทั่วโลก ผมรู้ว่าเราไม่ควรมองข้ามความรักที่ได้รับเลยครับ ผมรู้สึกขอบคุณมากๆ บางครั้งความรู้สึกมันเอ่อล้นจนผมคิดว่า“ว้าว ผมจะตอบแทนให้สมกับความรักที่ได้รับยังไง?”ผมอยากจะแสดงออกในทุกทาง ทุกช่วงเวลาเท่าที่เป็นไปได้ เพราะผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆที่ได้รับความรักจนผมไม่รู้จะกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ยังไงเลย

  • Q: ก่อนหน้านี้คุณได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Rolling Stone India คุณบอกว่าตอนที่คุณยังเด็ก คุณคิดว่าการเดบิวต์เทียบเท่ากับการประสบความสำเร็จของคุณ แล้วตอนนี้ล่ะ คุณนิยามคำว่าาประสบความสำเร็จของคุณยังไง? เป็นความสำเร็จหลังจากความสำเร็จในตอนนั้นหรอ?

JH: ความสำเร็จ… ก็ง่ายๆเลยครับ มันขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นคุณให้น้ำหนัก ให้ความสำคัญกับอะไร ในทุกๆด้านของชีวิต ผมคิดว่าความสำเร็จหมายถึงความพอใจในสิ่งที่คุณทำได้ เวลาที่คุณหมดศรัทธาในงานของคุณ และเริ่มคิดว่างานเริ่มน่าเบื่อ นั่นคือสัญญาณที่น่าเศร้านะครับ

  • Q: แน่นอนว่ามีบางช่วงเวลาที่คุณไม่สามารถสนุกไปกับมันได้

JH: มันก็แค่.. คือมันง่ายมากเลย ถ้าคุณทำมันไม่ได้ตอนนี้ งั้นก็ลองใหม่ตอนหลังสิครับ ลองคิดให้มันง่ายเข้าไว้ นั่นแหละคือเคล็ดลับอายุยืน การมีชีวิตที่มีความสุขไงละครับ อะไรที่ทำไม่ได้ในช่วงอายุ 20 ปี คุณอาจจะทำได้ตอนคุณอายุเข้าสู่ช่วง 40 ปีแล้ว แน่นอนครับว่ามันมีอะไรบางอย่างที่คุณควรทำในขณะที่คุณยังมีแรง (หัวเราะ) ถ้าคุณทำได้ ลงมือเลย ลองดูอีกครั้งถ้ามันล้มเหลว ในอนาคตคุณจะรู้สึกไม่เหมือนเดิมละ นี่เป็นกุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดของผมเลยครับ

  • Q: คุณหาแหล่งเติมพลังใจ เติมความเข้มแข็งพวกนี้มาจากที่ไหน?

JH: เมมเบอร์ทุกคนคิดเหมือนกัน คำตอบชัดเจนมาก ก็คือแฟนๆของพวกเราครับ “อาร์มี่” สำหรับแฟนๆ ไม่ว่าจะตอนไหนเวลาไหน แฟนๆของพวกเรามาก่อนเสมอ ผมลองคิดว่าสำหรับแฟนๆมันจะเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าพวกเรายอมแพ้ เพียงเพราะแค่เราเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ผมอายุ 20 ตอนที่เดบิวต์เข้ามา ผมยังไม่รู้อะไรมากนักกับการที่กลายมาเป็นคนที่มีชื่อเสียง แต่ข้อความที่แฟนๆส่งให้พวกเรา มันเติมความหวังและกำลังใจให้เราเป็นอย่างมากเลยครับ ผมได้รู้จักแฟนๆมากขึ้นเยอะเลยครับ จากการอ่านข้อความที่ส่งมา ทำให้รับรู้ว่าพวกเขารู้สึกอะไร แฟนคลับกับศิลปินเปรียบเสมือนเป็นคนๆเดียวกันเลยครับ

  • Q: นั่นทำให้นึกถึงท่อนนึงในเพลง “Life Goes On” ที่บอกว่า “ผู้คนต่างบอกว่าโลกเราเปลี่ยนไปแล้ว แต่ขอบคุณมากเลยนะที่ระหว่างเรามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”

JH: ครับ ถูกต้อง ผมว่าท่อนนั้นบอกสิ่งที่ผมอยากจะบอกออกไปได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเลยครับ ยุนกิเขียนท่อนนั้นครับ เค้าสุดยอดมากเลยอะ (หัวเราะ) ผมว่านั้นคือท่อนที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับแฟนได้ดีมากๆเลยละครับ

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Weverse Magazine Jimin Pt.2

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เกมออนไลน์

>>>>> แทงบอลออนไลน์