Weverse Magazine JK

Weverse Magazine JK แปลบทสัมภาษณ์ของจองกุก BTS ในนิตยสารปี 2021

Weverse Magazine JK”ผมคิดว่าเราไม่ควรหยุดเลยดีจะกว่านะครับ”

Weverse Magazine JK พวกเราได้ขอให้จองกุกวาดอะไรก็ได้ที่เขาต้องการสําหรับการถ่ายแบบในครั้งนี้ ภาพถ่ายที่แสดงขึ้นในบทความนี้ เป็นภาพถ่ายในขณะที่จองกุกอยู่ในที่ทํางาน แม้ว่าการถ่ายจะเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะยอมออกจากสตูดิโอ ก็ต่อเมื่อเขาวาดเสร็จแล้วเท่านั้น

Weverse Magazine JK บทสัมภาษณ์ Pt.1 : มีคนจํานวนมากที่ยกย่องผม ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวผมเองควรจะต้องทํางานให้หนักขึ้น

Weverse Magazine JK

  • ‘Butter’ ได้อยู่ทีอปชาร์ต Billboard Hot 100 เป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน (สัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2021)

Jung Kook: ผมไม่เคยยึดติดกับการจัดอันดับ [บนชาร์ต] เลยครับ แต่เทียบเท่ากับที่มันเป็นเรื่องดีอย่างที่เป็นอยู่ และเทียบเท่ากับความสุขที่ผมมีอยู่ จากการที่เราสามารถสร้างสถิติตั้งแต่ Dynamite’ ได้นั้น มันก็รู้สึกเหมือนเป็นภาระ/ความกดดันเหมือนกันนะครับ

  • มันเป็นเพราะว่าคุณประสบความสําเร็จเกินจากที่เคยได้จินตนาการเอาไว้รึเปล่า?

Jung Kook: ประมาณนั้นครับ มีคนจํานวนมากที่ยกย่องผม ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวผมเองควรจะต้องทํางานให้หนักขึ้น แต่พวกเราก็ทําได้ดีกว่าเดิมด้วย Butter เมื่อเทียบกับ Dynamite ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวผมรู้สึกหนักใจครับ ผมเป็นคนแบบนั้นแหละครับ BTS เป็นทีมที่น่าทึ้ง แต่ปัญหาของผมคือผมไม่สามารถตาม BTS ได้ทันครับ

  • คุณเป็นคนที่กําหนดอารมณ์เพลง ‘Butter’ โดยการร้องท่อนอินโทรของเพลง นั่นทําให้คุณรู้สึกดีไหม? คุณน่ะ น่าทึ่งเทียบเท่ากับตัววงเลยนะ (หัวเราะ)

Jung Kook: Butter [เป็นอะไรที่ทําให้] รู้สึกดีมากเลยครับ มันแตกต่างจากสไตล์ปกติของพวกเรา ดังนั้นมันจึงรู้สึกแตกต่างออกไปในขณะที่อัดครับ ตัวเพลงก็ยอดเยี่ยมเช่นกันนะครับ ผมชอบมันครับ แต่มันก็แยกออกมาจากความรู้สึกกดดันนั้นอ่ะครับ ผมหมายถึงผมหวังว่า BTS จะทําได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกครับ

พูดตามตรงเลยครับ ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ผมคิดว่าความกดดันนั้น มันหมายความว่าตัวผมเองควรต้องทําให้ดีขึ้นไปอีก หลังจากที่ “Dynamite ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 มันไม่ใช่ว่าพวกเราถูกบังคับให้ต้องพยายามให้มาก ขึ้นนะครับ แต่มันเป็นเพียงความทะเยอทะยานส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่าผมสามารถทําได้ดีกว่านี้อีกครับ

  • ทําไมคุณถึงคิดว่า ‘Dynamite ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจเท่าที่ควร?

Jung Kook: เพราะผมไม่สามารถแสดงออกทุกอย่างที่ต้องการได้อย่างที่ต้องการครับ เมื่อผมได้ฟังรีมิกซ์ ผมก็ย้อนกลับมาคิดว่าตัวเองจะร้องให้มันแตกต่างออกไปจากเดิม] ได้อย่างไร แบบ โธ่เอ้ย! ถ้าผมสามารถทําได้อีกครั้งล่ะก็!” (หัวเราะ) ผมได้อะไรจากการร้องเพลง ‘Dynamite’ นะครับ แต่มันก็ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจอยู่ดีอ่ะครับ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง ผมจึงพยายามฝึกร้องเพลงอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในทุก ๆ วันครับ ไม่ว่าจะศิลปิน นักร้องท่านใดที่เคยขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard มา 6 สัปดาห์ ก็ต้องร้องเพลงได้ดีมาก ๆ แน่ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : “ดังนั้นในบางครั้ง ผมก็จะทําตามสิ่งที่ผมคิดไปเลยครับ”

Weverse Magazine JK

  • อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับวิธีที่คุณร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษนั้น มันอาจทําให้คุณได้สัมผัสถึงการร้องเพลงของตัวเองในมุมมองใหม่ โทนร้องของคุณแตกต่างจากเมื่อคุณร้องเพลงเป็นภาษาเกาหลีนะ

Jung Kook: บางครั้งเวลาที่คุณพูดภาษาเกาหลี คุณจําเป็นต้องกดเสียงคุณลงหน่อยครับ นอกจากนี้ตัวผมเองก็มาจากปูซาน ผมเลยพูดในโทนเสียงที่ต่ําหน่อยครับ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อพูดภาษาอังกฤษ ดังนั้นมันจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ เวลาร้องเพลงภาษาอังกฤษ จะใช้ head Voice ได้ง่ายกว่า

แต่มันอาจทําให้รู้สึก ไม่สะดวกในขณะที่ร้องเป็นภาษาเกาหลีครับ หากคุณพยายามร้องเพลงให้สูงขึ้นโดยใช้ head voice บางทีมันก็อาจฟังดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ครับ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะแยกนิสัยเก่าๆ ออกไป เมื่อร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากว่าผมร้องเพลงภาษาเกาหลีมาโดยตลอดอ่ะครับ

  • ‘Dynamite’, ‘Butter’ และ ‘Permission to Dance’ เป็นเพลงภาษาอังกฤษทุกเพลงเลย และคุณเองก็เป็น ผู้ที่รับผิดชอบท่อนอินโทรของทุกเพลงเลยด้วย มันดูเหมือนว่าคุณได้สร้างสรรค์ความประทับใจที่แตกต่างกัน ออกไปสาหรับแต่ละเพลงนะ

Jung Kook: อย่างที่ทราบ Butter เป็นเพลงที่มีชีวิตชีวา [ซึ่งทําให้กระเด้งกระโดด] ครับ เสียงมันจะทุ่ม มีบีทที่ทําให้ขยับตาม มันเป็นจังหวะและท่วงทํานองที่ต่อเนื่องกันครับ ก่อนที่ผมจะเข้าห้องอัด ผมได้ฟังการอัดเสียงที่มีไกด์โวคอลมา จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องอัด ผมจําเป็นต้องนึกถึงคุณลักษณะทั้งหมดเหล่านี้เอาไว้ และผสมผสานมันให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองอย่างเหมาะสม

ด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนนี้ ผมคิดว่ามันเป็นสัญชาตญาณนะครับ (หัวเราะ) แน่นอนว่าผมมีช่วงเวลาที่ยากลําบากในการอัดเสียง และเมื่อผมอัดมันครั้งแรก เสียงของผมก็ฟังดูไม่ดีนัก ผมเลยจําเป็นต้องค้นหาเสียงที่ใช้ต่อไปครับ ผมคิดว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดคือการหาโทน เสียงที่คุณต้องการใช้ให้ได้ก่อน และการหาวิธีทําให้มันเป็นเสียงร้องของตัวคุณเองให้ได้ครับ ตัวอย่างเช่นใน ‘Permission to Dance’ ผมร้องเพลงในแบบที่ผมต้องการ มากกว่าสไตล์ที่โวคอลที่อยู่ในไกด์ครับ

  • คุณมาถึงข้อสรุปแบบนั้นได้อย่างไรกัน?

Jung Kook: โทนเสียงของทุกคนแตกต่างกันออกไปอยู่แล้วล่ะครับ ดังนั้นมันอาจดูเกินไปหน่อยถ้าหากผม ลอกเลียนแบบในไกด์มากเกินไปในเวลาที่ตัวผมร้องเพลง ดังนั้นในบางครั้ง ผมก็จะทําตามสิ่งที่ผมคิดไปเลยครับ ตอนแรกผมก็คิดนะครับว่าจะร้องอินโทรของ Permission to Dance ยังไง และเมื่อผมเข้าไปอัดเสียง แม้แต่ Pdogg ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ก็ยังบอกกับผมเลยครับว่า “มันจะดีที่สุดนะ ถ้าหากนายจะลองร้องด้วยเสียงและสไตล์ ของตัวเองหน่ะ”

  • การฟังเพลงของศิลปินท่านอื่นๆ มากมาย และการวิเคราะห์เพลงเหล่านั้นส่งผลต่อคุณอย่างไรบ้าง?

Jung Kook: ยิ่งฟังเพลงมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงร้องของผมก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากขึ้นเท่านั้นครับ มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ นะครับ เวลาที่พวกเราได้เพลงมา แล้วฟังมัน และได้ฝึกมันมาเรื่อย ๆ ผมคิดว่าคุณสามารถพูดได้ว่าเวลาผมซ้อม เส้นเสียงของผมพร้อมสําหรับการปรับปรุง/พัฒนาอยู่เสมอ (หัวเราะ) ปรับปรุง/พัฒนาในขณะที่เข้าอัด และปรับปรุงทุกครั้งที่ผมร้องเพลงเลยครับ แต่ในบางครั้ง จู่ ๆ มันก็ฟังดูไม่ดีพอเมื่อผมร้องตามที่ตัวเอง ต้องการอ่ะครับ ผมก็เลยลองดูใหม่ หรือไม่ก็มองหานักร้องท่านอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว และฟังเพลงของพวกเขา หรือไม่ก็สอบถามศิลปินรุ่นพี่ครับ การทําเช่นนี้ ช่วยให้ผมพบเสียงที่ต้องการและตามหาครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : “แต่ผมคิดว่าผมไม่เคยนิยาม/กําหนด ตัวเองว่าเป็นนักร้องประเภทใดเลยครับ”

Weverse Magazine JK

  • ใน V Live คุณร้องเพลงได้คล้ายคลึงกับเสียงร้องของชูก้าอย่างน่าประหลาดใจในท่อนของเขาในเพลง “Life Goes On” แม้ว่าเสียงร้องของคุณจะต่างกัน คุณสามารถจับทาง [และเลียนแบบ] ลักษณะเสียงร้องของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว

Jung Kook: ผมเคยพึ่งพาสิ่งนั้นเป็นอย่างมากครับ อย่างน้อยผมก็สามารถได้ยิน [ลักษณะเฉพาะในเสียงของพวกเขา] ได้ครับ (หัวเราะ) แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมว่าตัวเองไม่ควรทําแบบนั้นอ่ะครับ คุณสามารถสันนิษฐานและคาดเดาได้เลยครับว่าผมเคยได้ฟังเพลงของนักร้องคนอื่น ๆ มานับไม่ถ้วน จากนั้นผมก็ใตร่ตรองเกี่ยวกับ วิธีการร้องเพลงของตัวเองอย่างมาก

โดยคิดว่านักร้องท่านอื่น ๆ จะร้องเพลงต่าง ๆ ออกมายังไงกัน ก่อนที่จะค้นหาเสียงร้องของตัวเองครับ ผมได้นําเสียงและรูปแบบเสียงของผู้คนเหล่านั้นมานึกคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าหากพวกเขามาร้องเพลงในห้องนี้ จะนึกภาพว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไรในรูปเสียงของตัวเอง และบางครั้งผมก็สามารถทําให้เสียงของผมฟังดูคล้ายคลึงกันได้ หากผมพยายามครับ

  • ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งสําคัญสําหรับคุณที่จะค้นหาสไตล์ของคุณเองสําหรับการแสดงเช่นกัน ไม่เพียงแต่เพลงภาษาอังกฤษทั้งสามเพลงจะแตกต่างจากผลงานก่อนหน้านี้ของคุณเท่านั้น แต่ยังมีหลายพาร์ทใน ‘Butter’ ที่คุณสามารถแสดงผ่านเพียงท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้าได้อีกด้วย

Jung Kook: ก่อนหน้า ‘Butter’ ผมก็แค่ทํางานหนักและสนุกกับการทํามันในแบบที่ผมต้องการ แต่เริ่มตั้งแต่ ‘Butter’ ผมคิดว่าผมสามารถทําสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีที่รอบคอบมากขึ้นได้ครับ ผมใส่ใจกับการแสดงออกทางสีหน้า และการเคลื่อนไหวของผมมากขึ้น และคิดทบทวนว่าผมควรทําอะไรในแต่ละสถานการณ์ในแต่ละการแสดง เพื่อทําออกมาให้เป็นสไตล์ของตัวเองและมันก็เป็นกระบวนการที่สนุกครับ ผมไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเกี่ยวกับมันเลย ผมคิดแค่ว่าผมสามารถสร้างภาพแบบนั้นได้ ถ้าหากต่อจากนี้ไป ผมจะพยายามทําตัวให้เท่ขึ้นอีกหน่อย และไม่ดูจั๊กจี้ (Cringe) อ่ะครับ (หัวเราะ)

  • ในฐานะศิลปิน คุณต้องการให้คนอื่นมองคุณเป็นคนแบบไหนกัน? แบบว่า นี่คือสิ่งที่ผมเป็นในฐานะของศิลปินในตอนนี้

Jung Kook: ผมคิดว่าตัวเองยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ ผมมีภาพโดยรวมว่าผมต้องการจะเป็นนักร้องแบบไหน และสิ่งที่ผมอยากจะทําได้ดีมากๆ คืออะไร แต่ผมคิดว่าผมไม่เคยนิยาม/กําหนด ตัวเองว่าเป็นนักร้องประเภทใดเลยครับ เพราะมันเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง เมื่อผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ แล้ว ก็ ต้ม! – ผมได้ทําการพิสูจน์ และจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างแท้จริง

เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ผมถึงจะพูดได้ว่าผมเป็นนักร้องแบบนั้นแบบนี้นะ ตอนนี้ผมยังไม่มีอะไรเลยครับ ผมคาดว่าคุณสามารถพูดว่า มันเป็นส่วนสําคัญที่จะโอ้อวด แต่ผมว่า ถึงแม้ว่าผมจะเป็นส่วนหนึ่งของ BTS และได้ทัวร์สเตเดียมมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันจะทําให้ผมดีกว่าศิลปินท่านอื่นๆ โดยอัตโนมัติเลยเหรอครับ? และเมื่อคิดอย่างนั้น ผมก็กลับมาตั้งสติอีกครั้งครับ

  • นุ่มนวลกับตัวเอง/กดดันตัวเองให้น้อยลงกว่านี้ไม่ได้เหรอ?

Jung Kook: ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องคิดถึงอนาคตหลาย ๆ ครั้งตลอดทั้งวัน ตัวอย่างเช่น บางครั้งผมใช้เวลาทั้งวันกับการทําอะไรสักอย่าง แต่เมื่อใดก็ตามที่ผมใช้เวลาทั้งวันแบบนั้นผมจะรู้สึกผิดมากครับ ดังนั้นผมจึงสัญญา กับตัวเองว่าผมจะทํามันให้สําเร็จ นั่นเป็นวิธีการใช้ชีวิตของผมครับ เพราะถ้าหากผมไม่คิดแบบนั้น ผมจะไม่ลงมือทําอะไรให้เสร็จสักอย่าง

มันเหมือนกับชื่อเพลง Life Goes On ของเราครับ ลู่วิ่งยังคงดําเนินต่อไป และพวกเราเองก็เดินอยู่บนนั้น ดังนั้นผมคิดเสมอว่าผมจะไม่หยุดนิ่งครับ ผมสามารถแสดงออกได้ดีขึ้นหากผมคิดขณะพูด และผมสามารถจัดระเบียบความคิดในขณะที่ทบทวนสิ่งที่ผมพูดได้ ผมพยายามคิดในลักษณะนั้นกับทุกอย่างครับ ผมคิดว่าผมต้องพัฒนาอีก ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรืองานอดิเรกก็ตาม ให้มากกว่านี้ให้ดีกว่าตอนนี้ครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : “ผมคิดว่ามันเป็นครั้งแรกที่ผมได้คิดด้วยตัวเอง และมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้รู้จักตัวเองครับ”

  • คุณมีงานอดิเรกไหนที่คุณทําได้ดีบ้างไหม? ดูเหมือนว่าคุณจะวาดภาพได้ดีขึ้นเล็กน้อยนะ เมื่อพิจารณาดูจาก vlog ของคุณแล้ว

Jung Kook: ผมคิดว่าโดยรวมแล้วผมทําได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยครับ เสียงร้องของผมเป็นอะไรที่ผมพัฒนาขึ้นในช่วงนี้อย่างแน่นอนครับ และโบว์ลิ่ง! (หัวเราะ) ผมเรียนรู้การวาดรูปจากการดูวิดีโอบน YouTube ครับ ผมคิดว่าผมเป็นคนที่เก็บเกี่ยวทักษะโดยเอาผู้อื่นเป็นแบบอย่างได้ดีครับ จริงๆ แล้วผมไม่เก่ง เรื่องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ (หัวเราะ) ผมแค่จะชอบทําในสิ่งที่ตัวเองชอบ และคิดว่าผมคงเรียนรู้จากคนรอบข้างไป โดยธรรมชาติครับ นอกจากนี้ผมคิดว่าสิ่งที่ผมอยากเรียนรู้ก็ยังคงเป็นอะไรเดิม ๆ ครับ: การร้องเพลงภาษาอังกฤษ การออกกําลังกาย

  • การเรียนรู้จากผู้อื่นและต้องการทําให้ดีขึ้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการรับรู้ได้ว่าคุณสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับใครได้บ้าง คุณได้รับอิทธิพลจากเมมเบอร์คนอื่นๆ บ้างไหม? คุณพูดมาตลอดหลายครั้งว่าคุณได้รับอิทธิพลจาก พี่ๆ เมมเบอร์ทั้ง 6 คนมากขนาดไหน

Jung Kook: ผมคิดว่าผมเริ่มใส่ใจผู้อื่นที่นอกเหนือจากตัวเองหลังจากที่ผมได้ย้ายมาที่โซล และได้มาพบกับเมมเบอร์คนอื่น ๆ ครับ ผมเคยไม่สนใจสิ่งรอบตัว แต่พอมาตอนนี้ ผมสนใจแล้วครับ มันเหมือนกับว่าผมเริ่ม มองเห็นตัวเองว่าผมเป็นใครตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอ่ะครับ

  • นั่นทําให้ฉันนึกถึงตอนที่คุณพูดถึงการได้มาเห็นกรุงโซลเป็นครั้งแรกในรายการ You Quiz on the Block ทางช่อง tvN เลย ตอนที่คุณรับรู้ถึงความรู้สึกที่โลกภายนอกสามารถมอบให้คุณได้

Jung Kook: ครั้งแรกที่ผมเห็นถนนหนทางที่กรุงโซล พวกมันยิ่งใหญ่มากครับ ผมกังวลมากเพราะผมเองเพิ่งมาโซล และได้มารู้จักตัวเองเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ผมคิดว่ามันเป็นครั้งแรกที่ผมได้คิดด้วยตัวเอง และมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้รู้จักตัวเองครับ

  • ตอนที่คุณซื้อลูกอมที่คุณชอบจากป๊อปอัพสโตร์ของ BTS เจโฮปบอกว่าคุณยังเหมือนเดิมกับตอนที่เจอกันครั้งแรก เมื่อคุณอายุ 13 ปี คุณยังเหมือนเดิมเลย คุณคิดว่าเมื่อเทียบกับตอนนั้น คุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลยใช่ไหม?

Jung Kook: ในบางแง่ ผมอาจพัฒนาหรือแตกต่างออกไป แต่ผมแน่ใจว่ายังมีบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมที่เหมือนกับเมื่อตอนอายุ 13 ปีครับ ผมเรียนรู้ที่จะมีน้ําใจต่อเมมเบอร์คนอื่น และรับรู้ถึงวิธีที่จะเข้าใจพวกเขา เพราะผมได้ทะเลาะกับพวกเขาเป็นครั้งคราว แต่ถ้าหากผมจะหยิบลูกอม ก็ไม่มีใครห้ามผมนะครับ ผมหยิบมันอย่างที่เคย เหมือนตอนที่ผมกับโฮบี้ฮยองทะเลาะกันเรื่องกล้วยลูกเดียวอ่ะครับ (หัวเราะ)

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : “อาจมีคนที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ผมพูดหรือทําอยู่เสมอ แต่ผมมั่นใจว่าผู้คนจํานวนมากจะใช้สิ่งเหล่านั้นในทางที่ดีครับ”

รูปภาพ

  • แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับตัวคุณ? การเป็นเมมเบอร์ BTS ต้องมีผลกระทบต่อมุมมองของคุณที่มีต่อโลกแน่เลย คุณเคยขอให้ผู้ชมที่ทานมังสวิรัติเข้าใจคุณ เมื่อคุณทานเนื้อสัตว์ที่อยู่ในสลัดผ่านทาง V LIVE มาแล้ว

Jung Kook: ผมนึกถามเพราะผมทราบดีครับว่าผู้คนมากมายในต่างประเทศและในเกาหลีเองที่เป็นมังสวิรัติด้วยเหมือนกัน มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณเรียนรู้เมื่อคุณได้ทําการทัวร์ในหลายประเทศครับ แน่นอนครับว่าผมไม่ได้รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์ส่วนบุคคล หรือทางเลือกของคนในแต่ละประเทศ ดังนั้นผมคิดว่า ผมยัง มีหนทาง [ในการเรียนรู้] อีกยาวไกลครับ ผมคิดว่าการเคารพพวกเขาตามข้อมูลที่ผมทราบเป็นสิ่งสําคัญครับ

  • ฉันคิดว่าคุณตระหนักเป็นอย่างดีว่าคุณมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมาย ระหว่างที่คุณไลฟ์ใน V LIVE ของคุณ คุณพูดถึงการที่คุณไม่สามารถหาคอมบูชาที่คุณดื่มมาก่อนได้อีกต่อไป เพราะมันถูกขายออกไปหมดแล้ว และคุณก็ได้ขอบคุณแฟน ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก

Jung Kook: อย่างที่คุณทราบ [ตอนนี้] ร้านอาหารต่างๆ ไปได้ไม่ค่อยดีนัก และมีร้านค้าในตลาดที่ปิดตัวลงเป็นจํานวนมากในตอนนี้ ดังนั้นถ้าหากผมมีผลกับคนเพียงคนเดียวมันก็คุ้มค่าครับ และบางครั้งคนที่ได้รับอิทธิพลจากผมก็ได้ทําการบริจาคด้วย อาจมีคนที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ผมพูดหรือทําอยู่เสมอ แต่ผมมั่นใจว่า ผู้คนจํานวนมากจะใช้สิ่งเหล่านั้นในทางที่ดีครับ

  • อิทธิพลนี้เป็นสิ่งที่คุณสร้างขึ้นด้วยกันกับอาร์มี่ แฟนคลับของคุณ ฉันคิดว่าคุณไม่เพียงแต่ได้รับอิทธิพลจากเมมเบอร์คนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังได้รับอิทธิพลจากอาร์มี่ตั้งแต่คุณยังเด็กอีกด้วยนะ

Jung Kook: มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นภายในสถานที่จัดคอนเสิร์ตครับ การจัดแสง เวที พื้น การออกแบบเวที วิดีโอที่ฉายบนหน้าจอ นอกจากนี้ยังมีดนตรี การเต้นและพวกเราอีกด้วยครับ แต่แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะลงตัวกันแล้วก็ตาม แต่อาร์มีก็ต้องอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทําให้มันสมบูรณ์ครับ เมื่อพูดถึงคอนเสิร์ตของเรา อาร์มี่เป็นคนที่ซื้อตั๋ว และพวกเขาเป็นเหมือนตัวละครหลัก

ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราโฟกัส สุดท้ายมันก็กลับมาที่อาร์มี่อยู่ดีครับ พวกเราแบ่งปันความรู้สึกของกันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของพลังของเรา และผมคิดว่าพวกเขามีความร่วมมือกับพวกเราเป็นอย่างดี เพียงพูดว่าอาร์มี่กับพวกเราชื่นชอบกัน หรือว่าพวกเรารักกันก็คงไม่พอหรอกครับ มันมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน มันไม่รู้สิครับ มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคําพูดอ่ะครับ (หัวเราะ)

  • ฉันคิดว่าคุณต้องการให้อาร์มีอยู่ที่นั่นในคอนเสิร์ต เพื่อที่คุณจะได้สัมผัสถึงคอนเสิร์ตที่คุณต้องการอย่างเต็มที่จริง ๆ

Jung Kook: ใช่แล้วล่ะครับ! แม้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยและพวกเรายืนกันอยู่หน้ากล้องแล้ว แต่ถ้าหากไม่มีอาร์มี่ คอนเสิร์ตก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงครับ แม้ว่าอาร์มี่จะอยู่ที่นั่นและมีกล้องถ่ายอยู่ ผมก็จะแบบ มีกล้องด้วยเหรอ? เอาสิ แน่นอนว่าผมแคร์เรื่องนี้เมื่อต้องทักทายอาร์มีที่นั่งอยู่อีกฝั่งของหน้าจอของพวกเขา นอกจากนั้น ผมยังได้รับพลังทั้งหมดจากอาร์มี่ที่นั่งตรงหน้าผมด้วย พวกเขามีความหมายต่อผมขนาดนั้นเลยล่ะครับ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : “ตราบใดที่ผมสามารถขึ้นแสดงได้ผมก็โอเคแล้วครับ”

รูปภาพ

  • คอนเซปต์ของ BTS 2021 MUSTER SOWOOJOO มันคล้ายกับการได้แสดงคอนเสิร์ตร่วมกับผู้ชม มันต้องทําให้คุณคิดถึงอาร์มี่มากขึ้นแน่ ๆ เลย

Jung Kook: ตราบใดที่ผมสามารถขึ้นแสดงได้ผมก็โอเคแล้วครับ ถ้าหากเราทัวร์กันอยู่ ผมจะสามารถขึ้นคอนเสิร์ตได้มากขึ้นเท่าไหร่ก็ได้ ผมรู้สึกถึงมันได้ลึกซึ้งมากขึ้นในครั้งนี้ เพราะเราไม่สามารถแสดงต่อหน้าผู้ชมได้ครับ [ผมคิด] ว้าว ผมมองข้ามคุณค่าในสิ่งต่าง ๆ มาโดยตลอดจริง ๆ ผมควรทําอะไรมากกว่านี้อ่ะครับ

  • คุณคงผิดหวังแน่เลย มันคือเวลาที่คุณจะสามารถเปล่งประกายในฐานะนักร้องและนักแสดงเลยนะ

Jung Kook: (ถอนหายใจ) ผมก็… ก่อนอื่นเลย ผมต้องรีบทํามิกซ์เทปก่อนครับ (หัวเราะ)

  • มิกซ์เทปของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?

Jung Kook: ก่อนมาให้สัมภาษณ์ ผมก็นั่งทํามันอยู่นะครับ แต่มันยากอ่ะครับ! (หัวเราะ) ผมจะทําให้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองอย่างเดียวก็ได้ มันก็จะแบบว่า ผมเริ่มมาเป็นเด็กฝึกเมื่อตอนอายุ 13 ปี ผมทํางานหนัก และประสบความสําเร็จในที่สุด แต่แบบนี้ใครๆ ก็ทําได้ ดังนั้นผมจึงคิดอยู่เสมอว่าผมต้องการจะสร้างเรื่องราวที่เป็นฉบับของผมเอง ทําให้มันซับซ้อนแล้วเริ่มแต่งเพลงจากตรงนั้น

อัลบั้มเดบิวต์ของ Billie Eilish ทําให้ผมประทับใจมากเลยครับ เมื่อมันถูกปล่อยออกมา และมันคงจะดีถ้ามันจะมีเรื่องราวที่เรียงต่อ ๆ กันตามแทร็ก แต่ถึงแม้ว่ามันจะสับสน/ยุ่งเหยิง ก็ไม่เป็นไรครับ ตราบใดที่เพลงดี ๆ ยังคงมีมาอยู่เรื่อย ๆ นั่นคือสิ่งที่ผมกําลังคิดอยู่ครับ ดังนั้นทุกวันนี้ แทนที่จะเน้นไปที่เรื่องราวโดยรวมของตัวอัลบั้ม ผมจะเขียนทุกอย่างที่ผมต้องการพูดในแต่ละเพลงลงไป ถ้าหากผมได้รับความรู้สึกแบบนั้นทันทีหลังจากที่ฟังเพลง ผมก็จะพยายามทํามัน และจะ พยายามทําให้มันออกมาสนุกสนานร่าเริงหน่อยครับ

  • มันคงจะไม่ง่ายเลยที่คุณจะจดจ่ออยู่กับมัน หากคุณทํามันระหว่างที่คุณมีงานอื่น ๆ ของคุณที่ต้องทําระหว่างนั้นด้วย

Jung Kook: ถ้าหากว่ามันต้องใช้เวลานาน ก็ไม่เป็นไรครับ – แค่ว่ามันยากที่จะทํางานให้มันเป็นชิ้นเป็นอันเท่านั้นเองครับ ผมหมายถึงว่า ถ้าหากผมทํางานจนดึกดื่น มันคงยากที่ผมจะผ่านพ้นวันรุ่งขึ้นไปได้อ่ะครับ (หัวเราะ) เมื่อคืนผมก็ตื่นทั้งคืน และใช้วิธีหลับระหว่างตารางงานเอาในวันนี้ครับ แต่วันนี้ผมก็ยังจะทํางาน แบบนี้ต่อไป และจะทํามิกซ์เทปของผมต่อไป ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปล่อยมันออกมาโดยเร็วที่สุดครับ ผมต้องการเขียนและอัดเนื้อหาเยอะ ๆ หน่ะครับ

บทสัมภาษณ์ Pt.7 : “แค่ตัวตนที่แท้จริงของผมครับ จอนจองกุก ว่าผมเป็น คนง่าย ๆ สบาย ๆ ตรงไปตรงมาอย่างมาก และไม่มีอะไรพิเศษครับ”

รูปภาพ

  • มีอะไรเกี่ยวกับตัวคุณ นอกเหนือจากงานหรือคอนเสิร์ตที่คุณอยากจะแสดงให้อาร์มี่เห็นบ้างไหม?

Jung Kook: ผมอยากจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่า อืม.. แค่ตัวตนที่แท้จริงของผมครับ จอนจองกุก ว่าผมเป็น คนง่าย ๆ สบาย ๆ ตรงไปตรงมาอย่างมาก และไม่มีอะไรพิเศษครับ

  • คุณคิดว่าตอนนี้คุณเป็นคนแบบไหนกัน?

Jung Kook: ผม… ผมเป็นคนขี้เกียจครับ (หัวเราะ)

  • คุณเข้มงวดกับตัวเองมาก (หัวเราะ) คุณจะขี้เกียจได้ยังไงล่ะในเมื่อคุณเป็นส่วนหนึ่งของ BTS หน่ะ?

Jung Kook: ไม่ครับ ผมขี้เกียจจริง ๆ นะครับ (หัวเราะ) ถ้าผมอยู่คนเดียว ผมอาจจะลืมนัดไปเยอะมากครับ (หัวเราะ) แต่ผมต้องหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเมื่อพวกเราทํางานกันเป็นทีมครับ ผมขี้เกียจจริง ๆ นะครับ และ โอ้ บางครั้งผมก็เป็นคนคิดมากด้วยครับ ผมคิดมากกว่าที่คนอื่นคิด และผมทําสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบของตัวเองครับ นอกจากนี้ แม้ว่าผมจะไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับผม แต่ลึก ๆ ผมก็ยังสนอยู่ครับ (หัวเราะ) ผมไม่รู้สิครับ ผมเป็นคนขี้เล่น -? แต่ผมก็พยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ด้วยครับ – ผมเป็นคนแบบนั้นครับ (หัวเราะ)

  • ขอบคุณสําหรับการสัมภาษณ์นะ อ้อ ฉันชอบแฟนแคม “Butter” ของคุณนะ ท่าของคุณดูคล่องแคล่ว/ กระฉับกระเฉงมากเลยล่ะ

Jung Kook: จริงเหรอครับ? คุณคิดว่าผมพัฒนาดีขึ้นรึเปล่าครับ? (หัวเราะ)

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> BTS Healing Song

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เว็บดูบอลสดฟรี

>>>>> แทงบอล