Weverse Magazine RM Pt.2

Weverse Magazine RM Pt.2 BTS BE comeback interview “RM” 2020.11.28

Weverse Magazine RM Pt.2 BTS BE comeback interview “RM” 2020.11.28

Weverse Magazine RM Pt.2 แปลบทสัมภาษณ์ของ RM ใน Weverse Magazine ฉบับแรกของบังทัน โดยเป็นการพูดถึงการคัมแบคอัลบั้มอย่าง BE ว่าพวกเขามีการทำงานกันอย่างไร และในฐานะลีดเดอร์อายุ 27 ปี (ในปีนั้น) จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้

Weverse Magazine RM Pt.2 บทสัมภาษณ์ Pt.1 : มีหลายส่วนในการทำเพลงที่ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเลย

Weverse Magazine RM Pt.2

  • Q: รู้สึกอย่างไรกับการทำเพลงครั้งนี้ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ในอัลบั้ม BE

RM: เมมเบอร์คนอื่นๆ ช่วยผมเยอะมากๆเลย ผมแต่งเนื้อเป็นส่วนใหญ่ในอัลบั้ม และไม่ได้ทำดนตรีเลย เพราะงั้นก็ขอขอบคุณเมมเบอร์มากๆ สำหรับส่วนของดนตรี จะพูดยังไงดีหละ? ผมรู้สึกว่าทุกคนทำงานกันได้เยี่ยมมาก มีหลายส่วนในการทำเพลง ที่ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเลย อย่างเพลง “Stay” จริงๆตอนแรก ต้องเป็นเพลงไตเติ้ลมิกซ์เทปของจองกุก แต่ทุกคนชอบมันมากๆ และเห็นตรงกันว่าเพลงนี้ ควรอยู่ในอัลบั้ม นั่นคืออิทธิพลที่มีต่องานของพวกเขาเลย

ผมดีใจมากนะ ที่ไอเดียเรื่องห้องถูกเลือกให้เป็นรูปในอัลบั้ม มันเนื่องมาจากที่ทุกคน ใช้เวลาอยู่ในห้องของตัวเองเป็นอย่างมากในช่วงที่โควิด 19 พวกเราวางไอเดียที่จะตกแต่งห้องของแต่ละคน ให้เป็นสไตล์ของแต่ละคนเลย ผมจำไม่ได้เท่าไหร่นะ (หัวเราะ) แต่ผมว่าผมเป็นคนเสนอไอเดียนี้นะ ผมทำห้องที่ดูสบายๆ ดูทันสมัยและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เพราะผมชอบแบบนั้น

  • Q: ในห้องของคุณมีภาพวาดตรงกลาง รวมถึงหุ่นหมีแกะสลัก ทุกอย่างมันถูกจัดวางไว้สมมาตรพอดีเลย

RM: หุ่นหมีแกะสลักนั่นเป็นของสะสมของผมเอง จริงๆ ผมอยากโชว์ภาพวาดภาพนึงของผมนะ แต่ก็ไม่ได้นำออกมา ทุกอย่างที่อยู่ในห้องผม ก็เป็นอะไรที่ผมรักมากที่สุดในตอนนี้ ผมเลยจัดให้ห้องของผมเต็มไปด้วยอะไรที่ผมอยากให้มีด้วยเหมือนกัน

  • Q: เป็นที่รู้กันดีว่าคุณชอบงานศิลปะ แถมยังไปงานนิทรรศการอยู่บ่อยครั้ง คุณรู้สึกอย่างไร เวลาที่มองดูผลงานศิลปะเหล่านั้น ที่เวลาอยู่ที่บ้าน หรือ ที่อื่นๆเวลาที่ไม่มีผู้คน เหมือนอย่างศิลปะในอัลบั้มนี้

RM: มีคนบอกว่า “คุณไม่จำเป็นต้องซื้อภาพวาด มันเป็นของคุณตราบใดที่คุณยังมองดูมัน” เป็นประโยคกินใจผมมากเลยในช่วงนี้ สิ่งที่ผมอิจฉานักวาดมากที่สุดเลยก็คือ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว ผลงานของพวกเขาจะถูกแขวนไว้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง บางทีก็อาจจะเป็นที่ประเทศอื่น แต่มันก็ยังมีพื้นที่แสดงผลงาน นักดนตรีทิ้งเสียงเพลงและวิดีโอเหมือนกัน

แต่มีเพียงแค่งานศิลป์แบบนี้เท่านั้นที่จะนำพาผู้ชมจากอนาคตไปพบกับศิลปินในอดีตได้ ที่ผมอิจฉาก็เพราะมีแค่นักวาดเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ ทุกวันนี้ผมพยายามหาพื้นที่ที่ผ่อนคลายให้กับตัวเองเพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์พวกนี้อยู่

  • Q: แตกต่างกันไหมในเรื่องของประสบการณ์ที่ได้รับ เวลาที่ดูงานศิลป์ที่อยู่ที่บ้านเปรียบเทียบกับเวลาที่่ดูงานศิลป์ที่แกลอรี่

RM: สำหรับผมมันเพอร์เฟ็คนะ ผลงานบางชิ้นเราสามารถเก็บไว้ดูที่บ้านได้ และงานศิลป์บางงานมันควรถูกเก็บไว้ดูแค่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : มันยากที่จะตอบในคำเดียวว่าอะไรมีอิทธิพลโดยตรงกับงานของผม

Weverse Magazine RM Pt.2

  • Q: อะไรส่งผลทำให้คุณทำให้คุณคิดและทำเพลงออกมาอย่างที่เป็น คุณไม่ได้มีส่วนร่วมในการแต่งทำนองเลย แต่ในขณะเดียวกัน คุณเขียนเนื้อเพลงทุกเพลง จากประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ ทำให้คุณเขียนเพลงออกมาแบบนั้นหรือเปล่า ?

RM: ผมว่ามันก็มีส่วนช่วยเหมือนกันนะ แต่ก่อนผมเคยพยายามที่จะทำเพลงให้เนื้อเพลงคล้องจอง โฟกัสอยู่ที่ภาษาที่ใช้ให้สละสลวย แต่ตอนนี้ความคิดของผมมีหลากหลายมุมมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมใช้เวลาศึกษาศิลปะมากขึ้น ผมเฝ้ารอให้ถึงวันนั้น เหมือนเวลาที่คุณป้ายสีลงไปบนผืนผ้า ป้ายทับกันไปมาจนเกิดขึ้นภาพขึ้นมาให้เห็น

มันยากที่จะตอบในคำเดียวว่าอะไรมีอิทธิพลโดยตรงกับงานของผม แต่ผมคิดว่าผู้คนทำเพลงจากมุมมองที่มีต่อโลกที่เขามอง จากประสบการณ์ที่เค้าได้รับ จนเกิดเป็นการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา ปกตินักวาดภาพกว่าที่จะแสดงผลงานพวกเขาออกมา ใช้เวลานานมาก ผมคิดว่านั่นทำให้ผมมีมุมมองในการมองโลกของผมเป็นเหมือนเส้นตรงยาวๆที่ต่อเนื่องกันไป ตอนนี้เลยเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผมในการเขียนเนื้อเพลง ผมรู้จักระมัดระวังมากขึ้น

  • Q: ทำไมถึงมองว่าเป็นเรื่องท้าทาย?

RM: ผมเคยมีไอเดียพรั่งพรูมากมาย โดยที่ไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนดี ผมเลยทำเป็นเหมือนเกมเจงก้า แล้วก็คิดว่าจะเลือกขยับตัวไหนดีนะ แต่ตอนนี้มันยากที่จะต่อไม้พวกนั้นขึ้นไป ผมไม่แน่ใจว่าทำไมแต่เวลาที่ผมมองดูศิลปินเหล่านี้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำงานของพวกเขา ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า จังหวะของความคิดสร้างสรรค์ในตัวผมมันค่อยๆเกิดช้าลง ช้าลงไปเรื่อยๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เหมือนกัน ผมอายุแค่ 27 ปี ผมยังอยากท่องไปรอบๆ และอาจจะมีสะดุดไปบ้าง แต่ผมพยายามที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ศิลปินที่ดีควรทำอย่างไร?

หรือบางที่บีทีเอสผ่านอะไรมามากมายในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่พวกเราจะพักหายใจกันซักหน่อยแล้วหรือยัง? ผมมีคำถามมากมายในใจ รู้สึกได้ว่าผมหงอกเริ่มขึ้นมาละ เป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีเพลงของผมในอัลบั้มนี้เลย ผมก็เขียนบ้างนิดหน่อย แต่มันดูเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปหน่อยที่จะเอามาใช้กับอัลบั้ม ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็ยังจะรอดูไปจนจบและเฝ้าหาคำตอบนั้น

  • Q: บางทีจากเหตุผลที่คุณเล่ามา การแร็พของคุณก้าวข้าม และโฟกัสไปที่เนื้อหา มากกว่าที่จะตามเทรนด์หรือดนตรี นั่นยิ่งทำให้เข้าถึงความรู้สึกได้มากกว่าการการเน้นไปที่จังหวะหนักๆ อีก

RM: ใช่เลย ตอนนั้นในปี.. 2017 ไหมนะ? Pdogg ได้คุยกับยุนกิ โฮบี้ และผม เกี่ยวกับแนวเพลงของพวกเราและบอกว่า “นัมจุน มันเหมือนกับว่านายกำลังจะกลายเป็นนักแต่งเพลง” นั่นมันติดอยู่ในหัวผม ผมคิดเยอะเลยหลังๆ มา ยิ่งตอนดูรายการ Show Me the Money หรือฟังเพลงฮิปฮอปจาก ชาร์ตบิลบอร์ด ดนตรีของผมมักจะขึ้นต้นด้วย ชีวิตของผมคือแรพเปอร์ ดังนั้นตอนนั้นผมก็เลยมานั่งคิดว่าตอนนี้ผมอยู่ตรงไหนกันแน่

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : “ผมเป็นคนเกาหลี ผมทำอะไรที่ไม่ใช่เกาหลีไม่ได้ ผมทำอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นแค่คนนอก”

Weverse Magazine RM Pt.2

  • Q: ตอนนี้คุณเลยเริ่มถามตัวเองใช่ไหมว่าคุณเป็นนักดนตรีหรือเปล่า?

RM: ผมได้ฟังอัลบั้มที่ 7 ของคุณ Lee So-ra วันนี้อีกรอบ ผมเปลี่ยนใจไปมาในระหว่างที่กำลังเลือกว่า จะฟังอัลบั้มที่ 6 หรือ 7 ดี ผมชอบอัลบั้มที่ 7 มากกว่านิดหน่อย จากนั้นก็ฟังเพลงที่ดังสุดในบิลบอร์ด รู้สึกเหมือนแบบอยากจะโยนมันทิ้งไปอะ มีคำพูดที่คุณ Whanki Kim พูดเอาไว้ว่า มีบางอย่างอยู่ในหัวผมในช่วงนี้ : หลังจากที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์ค เขาพยายามรักษาสไตล์ของศิลปินอย่าง Mark Rothko และ Adolf Gottlieb แต่หลังจากนั้นเขาพูดว่า

“ผมเป็นคนเกาหลี ผมทำอะไรที่ไม่ใช่เกาหลีไม่ได้ ผมทำอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นแค่คนนอก” ผมเองก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่ผมกังวลอยู่ในช่วงนี้

  • Q: คุณคงรู้สึกได้ว่าในอัลบั้ม BE เมมเบอร์แต่ละคนมีความโดนเด่นในบทบาทการเขียนเพลง และการเป็นโปรดิวเซอร์ ด้วยลักษณะของแนวเพลงเกาหลีในสมัยก่อน เพลงประเภทที่คุณชอบฟังตอนสมัยเรียนอยู่มัธยมไปจนเรียนจบ แต่ดนตรีของคุณไม่ได้มาจากยุคนั้นเลย มันมีความเป็นป็อบแต่ก็ไม่ซะทีเดียว

RM: ดนตรีควรจะต้องไปในทิศทางเดียวกันทั้งอัลบั้ม ผมเลยไม่สามารถเอามันเข้าไปรวมในอัลบั้มได้ ส่วนใหญ่ช่วงนี้พวกฟังเพลงเกาหลี อย่างพวก P-Type’s “Don Quixote,” Dead’P’s “Spread My Wings,” Soul Company’s album The Bangerz ความประทับใจเพลงในบทเพลงยังอยู่ในใจผมอยู่เลย เนื้อเพลงจากวันนั้น และเนื้อเพลงในสมัยนี้มันแตกต่างกัน ดังนั้น BE เป็นอะไรที่ มีความเป็นเกาหลี และมีความป็อบอยู่ในตัว มีเอกลักษณ์มากๆ ในความคิดของผม

  • Q: ในเพลง “Life Goes On.” ที่มีดนตรีแนวป็อบก็จริงแต่ถ้าเปรียบเทียบกับเพลง “Dynamite” ก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก ตัวเพลงไม่ได้ทำให้รู้สึกจมดิ่งลงไป แต่เป็นการเดินทำนองไปเรื่อยๆมากกว่า

RM: ถูกต้องครับ ส่วนของคอรัสนี่ป็อบจ๋าเลย เป็นเพราะว่า หนึ่งในทีมแต่งเพลงนี้เป็นคนอเมริกัน แต่ตัวเพลงทั้งหมดแนวเพลงไปไม่ตามเทรนด์ของทางฝั่งอเมริกาเท่าไหร่ ก็แปลกดีนะครับ แต่พอมาคิดๆดูให้แล้ว เนื้อเพลงท่อนที่บอกว่า “Like an echo in the forest,” กับ “Like an arrow in the blue sky.” เพลงมันให้ความรู้สึกเนิบๆ เรื่อยๆ ไม่เหมือนกับเพลง “Dynamite.” ถ้าให้เปรียบเทียบกัน

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : ผมหวังว่าเมื่อผู้คนมองย้อนกลับไป บทเพลงของผม ดนตรี จะถูกนึกถึงไปอีกนานแสนนาน

  • Q: ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเพลงนี้ก็น่าจะอยู่ได้ยาวๆ เลย บางทีเด็กๆ ที่ฟังเพลงนี้อยู่ตอนนี้ พวกเขาอาจจะกลับมาฟังมันอีกทีเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็ได้

RM: ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้น อยากให้พอเวลาผ่านไป พอผู้คนได้ยินเพลงนี้แล้วคิดย้อนกลับไปก็จะเกิดความรู้สึกที่ “อ๊ะ จำเพลงนี้ได้มั๊ย?”ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ศิลปินที่ผมชื่นชอบทิ้งเอาไว้ให้ผม สิ่งหนึ่งที่มีความคล้ายกันในเพลงแบบที่ผมชอบ อย่างอัลบั้มที่ 7 ของคุณ Lee So-ra เนื้อเพลงที่เข้ากันกับทำนอง ทุกอย่างประกอบเข้ากันแล้วมันยังติดอยู่ในหัวผมจนตอนนี้

ผมหวังว่าเมื่อผู้คนมองย้อนกลับไป บทเพลงของผม ดนตรี จะถูกนึกถึงไปอีกนานแสนนาน ไม่ว่าจะในรูปแบบของเสียงเพลง ภาพ หรือการที่บทเพลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา แต่ก็นั่นแหละ พวกเราดูเหมือนจะประสบความสำเร็จกับมันได้นะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน

  • Q: และแน่นอน เส้นทางดนตรีของบีทีเอส ส่องประกายมากกว่าที่เคย เพลง “Dynamite” กลายเป็นเพลงฮิตบนชาร์ตบิลบอร์ด 100

RM: ผมเป็นคนแรกที่ดูเลยนะว่าเราได้ที่เท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่อยากจะตื่นเต้นมากจนเกินไป ผมเคยเป็นคนที่กลัวการเผชิญหน้ากับความผิดหวัง ผมเลยพยายามไม่ให้ตัวเองเป็นแบบนั้น เลยพยายามยั้งๆตัวเองไว้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าผมควรจะดื่มด่ำ เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสำเร็จนี้ นี่มันครั้งหนึ่งในชีวิตเลยนะ ไม่ยินดีกับมันหน่อยหรอ?

แต่ผมก็ไม่ชอบความรู้สึกที่มันมากเกินไป ก็เลยพยายามไม่คิดมาก จริงๆผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆเอง ที่ทำให้เกิดความสำเร็จนี้ได้

  • Q:ใน LGO มันทำให้ฉันคิดถึงท่อนที่บอกว่า “ต่อให้วิ่งให้เร็วยิ่งกว่าเมฆฝนพวกนั้น ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คงเพราะว่าผมมันก็แค่มนุษย์คนนึงล่ะนะ”

RM: “ก็แค่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง” เป็นคำที่เหมาะสมกับผมที่สุดในตอนนี้ มีครั้งนึง ผมเห็นก้อนเมฆครื้ม ลอยอยู่เหนือตึก N Seoul ในขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ริมแม่น้ำฮัน ตอนนั้นผมอยู่กับเพื่อนแล้วเราก็ลองคุยกันว่า ตรงไหนคือเส้นกั้นระหว่างตรงที่ฝนตก กับอีกที่ที่ไม่ตกกันนะ เราก็เลยได้ไอเดียว่า งั้นเราลองวิ่งแล้วหาเส้นแบ่งนั้นดู วิ่งไปจน 10 นาทีก็แล้ว ก้อนเมฆก็ดูไกลออกไปเหมือนตอนแรก

นตอนนั้นผมพบคำตอบของปริศนาที่ว่าผมจะวิ่งเร็วกว่าก้อนเมฆทันงั้นหรอ? ไม่มีทาง นั้นคือสิ่งที่ผมเข้าใจ ผมเคยชินกับการเริ่มงานสาย และอยู่ยาวไปจนดึก เมื่องานไม่เป็นไปอย่างที่ผมต้องการ้ บางครั้งผมก็เดินจาก ซัมซองถึงสถานี ซินซา เดินไปคิดไป แต่ตอนนี้ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมเข้าใจแล้วว่าบางทีผมอาจจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสิ่งที่ผมเป็น

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องหาจุดที่มั่นคงยึดเอาไว้ และและเรียนรู้ตัวผมเองจากตรงนั้น

  • Q:ในวีเวิร์ส คุณบอกว่าคุณมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกาย คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของคุณ มีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไรบ้างในระยะยาว (น่าจะหมายถึงพอออกำลังกายก็ทำให้หัวโล่งคิดนั่นนี่ออก)

RM: ผมเริ่มคิดว่า น่าจะดีถ้าจะลองเปลี่ยนตัวเองสักนิดไม่ว่าจะทางกายภาพหรือว่าจิตใจ ผมพูดถึงในแง่ของความมั่นคง สม่ำเสมอมากขึ้น ผมเคยโหมใส่ตัวเองด้วยความท้าทายต่างๆ กังวลกับมัน และพยายามหาทางเอาชนะมันให้ได้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องหาจุดที่มั่นคงยึดเอาไว้ และและเรียนรู้ตัวผมเองจากตรงนั้น

ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือออกการกำลังกาย ผมว่าผมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองไปเยอะนะ ผมหวังว่าพอออกกำลังกายไปซักปีสองปี ผมอาจจะเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมก็ได้

Q:ดนตรีคืองานของคุณ แต่ก็เปรียบเสมือนชีวิตของคุณด้วย เหมือนที่คุณปลดปล่อยมันออกมาในเพลง “Dis-ease” คุณจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่องานของคุณอย่างไร?

RM: ดนตรีคืองานของผม ผมรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบที่มีต่องาน ผมว่าผมโชคดีและมีความสุขที่สามารถ ใช้ความคิดเต็มที่ในการสร้างสรรค์ผลงาน ผมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวผม ผมพยายามที่จะไม่ข้ามเส้น ตัดสินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และทำงานอย่างมืออาชีพ นั่นคือความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับงาน สิ่งที่ผมสัญญาคือผมไม่มีวันทรยศต่องานแต่ผมจะทำมันให้ได้ และจะมีความสุขในขณะที่ทำมัน มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ในทุกครั้งหรอกครับ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

  • Q: ถ้าอย่างนั้น..ตอนนี้คุณคิดยังไงกับ BTS ?

RM: BTS หรอครับ.. ก็ ยากที่จะตอบนะครับ (หัวเราะ) ตอนที่เราเริ่มวงกัน “ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ BTS” แต่ตอนนี้มันกลายเป็น “ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับBTS” ในอดีตผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่าง และทุกอย่างก็เป็นไปได้ เรียกว่ายังมีความคิดเป็นเด็กๆ หรือ ทะเยอะทะยาน แต่พอตอนที่ผมถามตัวเอง “สำหรับผม BTSคืออะไร?” ผมก็จะบอกว่า เราเป็นแค่กลุ่มคนที่มาเจอกันอยู่ด้วยกันเพราะมันถูกกำหนดให้เป็นแบบนั้น

มันให้ความรู้สึกแบบหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ส่วนบริษัทก็เปรียบเสมือนเป็นเจ้าม้ายูนิคอร์น (*ตรงนี้เราตีความว่านัมจุนหมายถึงทุกอย่างมันเหมาะเจาะพอดีพอดี แล้วบฮ (ยูนิคอร์น)ก็ร่ำรวย ล้ำค่าขึ้นมา*) ที่อยู่ในเวลาที่เหมาะเจาะและเต็มไปด้วยคนเก่งๆ พอมองย้อนกลับไป อุตสาหกรรมดนตรีนั้นเต็มไปด้วยการประชดประชันและความขัดแย้ง ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนผมไม่รู้อะไรเลย ช่วงวัยหนุ่มที่บ้าบิ่นในวัยยี่สิบกว่าๆของผม เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา ผมพบกับความขัดแย้งมากมาย

ผู้คน ชื่อเสียง ปัญหาต่างๆ ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน แต่นั้นคือสิ่งที่ผมเลือก และผมก็ได้รับอะไรจากมันมากมาย แม้จะเป็นช่วงวัยยี่สิบที่เข้มข้น แต่ก็มีความสุขในเวลาเดียวกัน

  • Q:แล้วตัวคุณล่ะ? ในฐานะคนๆนึง

RM: ผมเป็นคนเกาหลีแบบเกาหลีจริงๆเลยอะ (หัวเราะ) เป็นคนที่อยากจะทำอะไรบางอย่างที่เกาหลีนี่แหละ ผมว่าเศรษฐีหลายๆคนยังติดอยู่ตรงกลางระหว่างยุคอนาล็อค (ยุคเก่า) และยุคดิจิตอล (ยุคสมัยใหม่) สิ่งที่ผมเลือกแล้วคือ BTS ผมพยายามที่จะประสานตัวผมเองให้เข้ายุคสมัยของพวกเรา พยายามที่จะเข้าใจว่าคนแบบผมกำลังคิดอะไรอยู่ พยายามอย่างหนักที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเองโดยที่ไม่เป็นภาระของพวกเขา

ก็ฟังดูเป็นการประชดประชันนะ แต่นี่คือผมที่เป็นผมไง ผมที่เป็นหนุ่มเกาหลีอายุ 27 ปี นี่แหละสิ่งที่ผมคิด

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Weverse Magazine Jin Pt.2

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เว็บดูบอลสดฟรี

>>>>> UFABET