Weverse Magazine SUGA Pt.2 BTS BE comeback interview “SUGA”

Weverse Magazine SUGA Pt.2 BTS BE comeback interview 2020.11.29

Weverse Magazine SUGA Pt.2 แปลบทสัมภาษณ์ของ Suga ใน Weverse Magazine ฉบับแรกของบังทัน โดยเป็นการพูดถึงการคัมแบคอัลบั้มอย่าง BE ว่าพวกเขามีการทำงานกันอย่างไร และในฐานะที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ของวง และอัพเดตอาการบาดเจ็บที่ไหล่และการผ่าตัด จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้

Weverse Magazine SUGA Pt.2 บทสัมภาษณ์ Pt.1 : เพื่อที่ผมจะได้ทำเพลงต่อไปในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

Weverse Magazine SUGA Pt.2

  • Q : อธิบายถึงความสนใจของคุณที่มีต่อดนตรีในวงกว้าง ตั้งแต่เครื่องดนตรีไปจนถึงการแต่งเพลง และประเภทดนตรี

SUGA: เป้าหมายของผมคือทำเพลงต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือรูปแบบใดก็ตาม ในแง่นั้นผมมีความเคารพอย่างสูงต่อ Cho Yong-pil เขาใช้เสียงที่ดีที่สุด และตีความใหม่ให้เป็นของเขาเอง ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการเลียนแบบและเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อที่ผมจะได้ทำเพลงต่อไปในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

  • Q : ไหล่ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?

SUGA : ดีครับ ผมคิดว่ามันจะดีขึ้นกว่านี้เมื่อผมถอดสายรั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัวเต็มที่ แต่ผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด

  • Q : รู้สึกอย่างไรที่ได้แก้ไขปัญหาที่ทำให้คุณทุกข์ใจมานาน (ผ่าตัดไหล่)?

SUGA : ก่อนอื่นเลยผมดีใจ ความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งหนึ่ง แต่เมื่อไหล่ของผมแย่ลงผมไม่สามารถแม้แต่จะยกแขนขึ้นได้ แต่เมื่อทราบว่าอาการนี้อาจเกิดขึ้นอีกเมื่อได้รับการผ่าตัดตั้งแต่อายุยังน้อย ผมจึงรอเวลาที่เหมาะสม และตัดสินใจที่จะผ่าตัดให้เสร็จในต้นปีหน้าโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ COVID-19 ผมวางแผนที่จะเข้ารับการผ่าตัดหลังช่วงสิ้นปี แต่ผมทำได้ในปีนี้ (2020) เพราะแพทย์แนะนำให้ผมเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆสำหรับโปรโมชั่นและกิจกรรมในปีหน้า

บทสัมภาษณ์ Pt.2 : ผมมองเห็นความว่างเปล่า เพราะเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม 7 คนมานานแล้ว

Weverse Magazine SUGA Pt.2

  • Q : รู้สึกยังไงที่ได้ดูสมาชิกคนอื่นทำกิจกรรม?

SUGA : ผมไม่สามารถพูดได้ว่ามันรู้สึกดี ผมมองเห็นความว่างเปล่า เพราะเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม 7 คนมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เพราะบางอย่างที่ควรจะเป็นที่นั่นขาดหายไป?

  • Q : นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณเข้าร่วมกิจกรรมมากที่สุด? คุณถ่ายวิดีโอล่วงหน้าจำนวนมากและยังปรากฏตัวในงาน MNET MAMA 2020 ผ่าน VR ด้วย?

SUGA : ชูก้าปลอม (หัวเราะ) มีสตูดิโอ 3D ที่เราถ่ายทำ ผมถ่ายภาพสแกนและแสดงที่นั่น แต่ไม่เห็นผลที่แท้จริงที่สตูดิโอเลย ผมคิดว่าความรู้สึกของการออก (พัก) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และนั่นก็เป็นเช่นนั้น (หัวเราะ) ผมทำตัวปกติเพราะมันจะออกอากาศอยู่แล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้รับการผ่าตัด แต่ดูเหมือนมาก (VR) เพราะมันออกอากาศหลังการผ่าตัดด้วย

  • Q : รู้สึกยังไงที่ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นเวที?

SUGA : มันเป็นเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ผมได้รับการผ่าตัด แต่การที่ผมไม่อยู่บนเวทีก็ชัดเจนมาก แต่แพทย์ของผมบอกผมเสมอว่าผมไม่ควรใจร้อน และในความเป็นจริงนักกีฬาหลายคนต้องผ่าตัดเมื่อพวกเขากลับมาที่สนามโดยไม่ได้รับการฟื้นฟูที่เหมาะสม งนั้นผมจึงพยายามที่ไม่สนใจ 2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก จนผมลองทำสิ่งใหม่ได้ ผมดูหนังที่ผมไม่ได้ดูด้วยซ้ำ

  • Q : แล้วคุณฝันถึงสิ่งใหม่ๆ อะไรบ้าง?

SUGA : ผมอยากที่จะทำเพลงต่อไป ตั้งแต่การแสดงทั้งหมดถูกยกเลิกเพราะ COVID-19 ผมมีโอกาสที่จะพูดคุยกับนักดนตรีมากมายในเกาหลี ฉันคุยกับนักร้องตำนาน และผู้คนที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม การพูดคุยกับพวกเขาทำให้ผมรู้ว่า ผมรักดนตรีมาก เพราะดนตรีเป็นอาชีพของผม ผมไม่สามารถจินตนาการตัวเองที่จะไม่ได้ทำมัน ผมดีใจที่ยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้ไปเยือนในโลกของดนตรี

บทสัมภาษณ์ Pt.3 : เพราะผมอยากทำดนตรีที่ไม่ใช่เพื่อให้แค่เป็นที่ชื่นชอบในเกาหลี

Weverse Magazine SUGA Pt.2

  • Q: คุณดูภาพยนต์อะไรไปแล้วบ้าง?

Suga: ผมดู ‘Samjin Company English Class’ ที่เพิ่งฉายไปที่ช่อง IPTV ส่วนตอนนี้ผมเพิ่ม ‘Tenet”  ไว้ในลิสต์ของผมละ ‘Parasite’ เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ผมได้ดูในโรง อย่างที่เห็นว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมมันเข้มงวดมากขึ้น ผมเลยไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยยกเว้นไปโรงพยาบาล ขนาดกินข้าวยังกินที่บ้านเลย ช่วงนี้ผมดูรายการทีวีเยอะมาก อย่างพวก like ‘Sing Again’, ‘Folk Us’, and ‘Show Me The Money 9’ มันทำให้ผมคิดว่าผมควรทำอะไรในวันที่กำลังจะมาถึงดี

  • Q: ช่วยเล่าอย่างละเอียดหน่อยได้ไหม

Suga: ผู้เข้าแข่งขันหลายคนจาก ‘Sing Again’เก่งกันมากแต่ไม่มีโอกาส ส่วนในรายการ ‘Folk Us’ ผมสังเกตุเห็นหลายคนเอากีตาร์ขึ้นเวทีด้วย ผมเลยเริ่มลองเล่นกีตาร์ในช่วงไม่นานนี้ ผมรู้สึกมีแรงผลักดัน มีความต้องการที่จะขยายขอบเขตทางดนตรีของผม และเนื่องจากผมมีความสนใจในการเติบโตของอุตสาหกรรมดนตรีของอเมริกา ผมเลยเตรียมพร้อมด้วยการเรียนภาษาอังกฤษด้วย

  • Q: อะไรที่เป็นแรงผลักดันในสิ่งที่คุณกำลังสนใจทำอยู่ตอนนี้

Suga: ส่วนนึงมันก็คือเรื่องของธุรกิจ การลงทุน การตลาดนั่นแหละ คุณอาจจะเสียความนิยมในช่วงพริบตาถ้าเกิดคุณทำมัน (ผลงาน) ออกมาไม่ได้ ในระบบนี้คุณต้องลองทำทุกอย่างและต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ผมอยากทำดนตรีไปนานๆ และท้ายที่สุดแล้ว ผมยังอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลกอยู่เสมอ เพราะผมอยากทำดนตรีที่ไม่ใช่เพื่อให้แค่เป็นที่ชื่นชอบในเกาหลี แต่ยังรวมไปถึง อเมริกา ญี่ปุ่น และทางยุโรปด้วย

บทสัมภาษณ์ Pt.4 : มันง่ายกว่านะถ้าเขียนเพลงโดยการใช้สัญชาตญาณ 

  • Q: พูดถึงอัลบั้ม BE ดูเหมือนว่าในส่วนของดนตรีจะได้รับอิทธิพลมาจากอดีตมากกว่ากระแสในปัจจุบัน

Suga: ผมชอบเพลงที่เกิดขึ้นมาแบบปุบปับเป็นพิเศษ ผมรักเพลงที่เขียนมาจากการทำแบบครั้งเดียวมากกว่าการที่อัดแล้วอัดอีกหลายๆครั้ง และในตอนนี้การผสมผสานแนวเพลง เป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากทำดนตรีให้ดียิ่งๆขึ้นไป

  • Q: เนื่องจากแนวดนตรีเป็นการผสมผสาน ดังนั้นทำนองต้องมีความสำคัญมากขึ้น การเริ่มต้นเล่นกีตาร์ของคุณมีผลต่อการทำเพลงในทางใดทางหนึ่งด้วยไหม

Suga: ปกติผมชอบใช้เสียงกีตาร์อยู่ตลอดอยู่แล้วนะ ผมชอบวง the Eagles ด้วย ถ้าคุณเล่นกีตาร์มันง่ายกว่ามากในการเขียนเพลงเพราะคุณจะแบกมันไปที่ไหนก็ได้ ต่อสายแล้วก็เริ่มทำทำนองได้เลย คีย์บอร์ดแบกไปมายากกว่าอ่ะ (หัวเราะ) ปกติผมทำงานในแล็ปท็อปแต่ผมก็คิดมาตลอดนะว่าผมต้องการเครื่องดนตรีด้วย ตอนนี้ผมเลยเร่งเรียนรู้และพัฒนา ทำความเข้าใจพวกคอร์ดอยู่

  • Q: นั่นทำให้ฉันคิดว่าคุณคิดทำนองขึ้นมาได้โดยใช้สัญชาตญาณเลยนะ

Suga: มันง่ายกว่านะถ้าเขียนเพลงโดยการใช้สัญชาตญาณ เพราะมันทำได้แบบก้าวกระโดด และยังได้ลองทำอะไรใหม่ๆหลายอย่าง ในช่วงที่ทำเพลง ‘Eight’ คุณ IU อัดเพลงส่งมาให้ผมจากโทรศัพท์ของเธอเลย ตอนนั้นผมยังเล่นกีตาร์ไม่เป็น เราพยายามอย่างมากเพื่อให้แน่ใจว่าต่างคนต่างเห็นภาพเดียวกัน และติดตามความคืบหน้าของกันและกันอยู่เรื่อยๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าอยากเริ่มเรียนเล่นเครื่องดนตรี

  • Q: ก่อนที่คุณจะเริ่มเล่นกีตาร์ ฉันพบว่าเพลง ‘Telepathy” ในอัลบั้ม BE นี่น่าสนใจมากเลย ทำนองแต่ละท่อนของเมมเบอร์แต่ละคนทำให้ฉันสงสัยมากว่าคุณเขียนเพลงออกมาได้ยังไง

Suga: ผมลองทำนองแบบนี้ครั้งแรกในปีนี้เลย (2020) พอรู้สึกว่าสนุกกับดนตรี มันก็เปิดประตูอีกหลายบานของผม เลยทำให้การทำงานง่าย ผมเริ่มจากเล่นทำนองแล้วค่อยเขียนเนื้อจากตอนเริ่มต้นไปจนจบเพลง ผมเขียนเสร็จในครึ่งชม. เพลงมันเขียนตัวมันเอง เทรนด์ดนตรีที่ผสมผสานป็อบและฮิปฮอปเข้าด้วยกันในทุกวันนี้ทำให้ก้าวข้ามระหว่าง การร้องกับการแรพ ผมชอบเทรนด์นี้นะ

บทสัมภาษณ์ Pt.5 : บางอย่างในเพลงอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว

user uploaded image

  • Q: ตอนที่ฉันฟังคุณร้องรู้สึกได้ว่าคุณร้องให้ลงจังหวะมากกว่าการร้องไปตามโน้ตฉันคิดว่าคุณใช้เทคนิคการร้องเหมือนกับเวลาที่คุณกำลังแร็พอยู่

Suga: ในขณะที่แร็พคุณจะคิดถึงแค่จังหวะ มันง่ายเหมือนกับการเอาทำนองไปใส่ในจังหวะ ถ้าจะหาว่าอะไรมาก่อนหลังผมว่าทำนองจะมาเติมเต็มในขณะที่เขียนเนื้อแร็พนะ

  • Q: ในเพลง ‘Life Goes On’ ท่อนที่บอกว่า “ขอบคุณที่ระหว่างเรา ไม่มีอะไรเปลี่ยน” มันเหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างจะแร็พก็ไม่ใช่จะร้องก็ไม่เชิง

Suga: มีหลายเพลงที่ท่อนแร็พ ถูกทำให้เด่นขึ้นมา ตัวอย่างเช่นเพลง ‘Dis-ease’ หรือ ‘Ugh!’ คุณต้องแร็พเก่งๆเลย แต่สำหรับเพลงที่ควรจะฟังสบายๆ มันไม่จำเป็นต้องแร็พหนักขนาดนั้น บางทีก็ต้องทำให้ทำนองมันลื่นไหลแบบไม่สะดุดนะ

  • Q: ท่อนแร็พในเพลง ‘Blue & Grey’ นั้นน่าประทับใจมาก นอกเหนือจากเนื้อที่เขียนให้ขยี้ในแต่ละพาร์ทแล้ว คุณยังยืดท่อนออกไปตามทำนองที่ช้าด้วย

Suga: เอาตรงๆเลยนะ จังหวะนี้มันยากที่จะแร็พ ช่วงเริ่มต้นของเพลงเริ่มด้วยเสียงกีตาร์เท่านั้น นั่นยิ่งทำให้ยากขึ้น ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อของเพลง ‘Blue & Grey’ ผมอยากจะทำงานกับเพลงแนวนี้อยู่แล้ว เพราะว่าเวิร์สแรกจะพูดถึงธีมของเพลงนี้

  • Q: เหมือนกับคุณได้ทำทุกอย่างที่อยากทำในอัลบั้ม BE เลย

Suga: ผมว่าผมใช้เวลาทำในส่วนของผมไม่ถึงอาทิตย์ หลังจากที่เขียน หนึ่งหรือสองเมโลดี้ในเพลง ‘Life Goes On’ ผมเขียนเวอร์ชั่นแบบที่มีแร็พ และผมชอบมันนะถึงแม้ว่าจะตอนนั้นทำงานแยกกันระหว่างการเรียบเรียงเพลงและส่วนของเนื้อร้อง มากกว่าการนั่งคิดหาทางทำให้มันเวิร์ค ผมเลือกที่จะทำมันแบบเรียบง่ายโดยที่แค่เล่นดนตรีและเขียนเนื้อลงไปเลย

  • Q: ครีเอเตอร์หลายคนไม่มั่นใจว่าผลงานของพวกเขาที่ออกมาดีพอหรือไม่ คุณสร้างความมั่นใจในตอนที่คุณปล่อยผลงานออกมายังไง?

Suga: นักดนตรีหลายคนไม่แน่ใจว่าควรปล่อยเพลงของพวกเขาดีมั๊ย ผมก็เหมือนกัน แต่ว่า ก็จะไม่ได้ปล่อยผลงานอะไรเลยนะถ้ามั่วแต่เรื่องมาก เช่น ถ้าเราปล่อยเพลงสิบเพลง อย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้เปิดเผยเพลงเหล่านี้ในคอนเสิร์ตหรือในงานที่ได้พบกับแฟนๆและในบางครั้ง เวลาที่เราฟังเพลง พวกเราอาจจะคิดว่า เอ๊ะทำไมท่อนนี่ที่เคยน่ารำคาญ มันไม่น่ารำคาญแล้วล่ะ?

บางอย่างในเพลงอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว แม้แต่ผมที่บางทีก็ลืมไป แบบนี้มันมีประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของการปรับจูนเพลง การมองดูภาพรวมดีกว่าคิดมากในรายละเอียดยิบย่อยจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงโปรโมตผมไม่มีเวลาเลือกเพลงที่คนอื่นๆ ส่งเข้ามายาวเป็นสิบชั่วโมง นี่น่าจะดีกว่าถ้าเราต่างคนต่างทำเพลง เขียนเพลงเขียนทำนอง แล้วค่อยเอามารวมกันลงรายละเอียด การเขียนเพลงก็จะมีหลากหลายมุมมองมากขึ้น

บทสัมภาษณ์ Pt.6 : พวกเราไม่ได้ดูเปลี่ยนไปมาก แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากๆแล้ว แม้ว่าเขาจะคิดว่าพวกผม จะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

user uploaded image

  • Q: อะไรที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

SUGA: ผมว่ามันค่อยๆเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ตัวผมก็มีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้(2020) เช่นกันในเรื่องของการตีความและทัศนคติที่มีต่อชีวิตก็เปลี่ยนไป จะรู้สึกยังไงถ้าไม่มีเวทีให้ทำการแสดงหรือไม่มีใครที่เฝ้ารอคอยผมอีกแล้ว ความคิดนี้ทำให้ผมเข้าใจและเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น

  • Q: ในเพลง ‘Dis-ease’ ท่อนที่คุณร้องว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าที่เป็นโรคร้าย คือโลกหรือตัวฉัน’ สิ่งนี้เปลี่ยนความคิดของคุณในการทำงานบ้างมั๊ย

SUGA: ใช่ ตอนผมเป็นเด็ก ผมมีความเชื่อมาตลอดว่า “นี่มันความผิดของผมเองแหละ” แต่พอโตขึ้นก็เข้าใจว่ามันไม่จริงเสมอไป ที่ผ่านมาที่ผมเคยคิดว่าเป็นความผิดของผม จริงๆมันไม่ใช่ ในขณะเดียวกันก็มีหลายสิ่งที่ผมทำได้ดีและมีช่วงเวลาที่ผมโชคดีอยู่

  • Q: ในเพลง ‘I NEED U’ ถูกปล่อยออกมาในช่วงที่คุณกำลังคิดว่า “มันต้องตอนนี้แหละ” หลังจากที่เมมเบอร์ได้โชว์เพลงนี้ในสเตจ ‘I NEED U’ ในงานเทศกาลดนตรี KBS’ คุณเขียนใน Weverse ว่า “เหมือนกับเมื่อห้าปีที่แล้วเลย” คุณเปรียบเทียบย้อนกลับไปยังไง (บทสัมภาษณ์นี้สัมในวันที่19ธันวา 2020)

SUGA: พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนิดนึง เพอร์ฟอร์แมนซ์ การแสดงของพวกเรามีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมยังชอบเพลง ‘I NEED U’ แค่ฟังเพลงก็รู้สึกคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ มากไปกว่านั้น เพลงถูกปล่อยในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี ผมได้ดูวิดีโอเก่าๆ ก็ค้นพบว่าพวกเราไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่นัก

  • Q: อะไรที่คุณบอกว่าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก

SUGA: ก่อนที่มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมจะเข้มงวดมากขึ้น ผมได้พูดคุยกับตากล้องที่ทำงานกับอัลบั้ม BE ที่ผมเคยได้พบเมื่อสี่ปีที่แล้ว เขาบอกว่า พวกเราไม่ได้ดูเปลี่ยนไปมาก แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากๆแล้ว แม้ว่าเขาจะคิดว่าพวกผม จะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

บทความเกี่ยวกับ BTS อื่นๆ >>>>> Weverse Magazine J-Hope Pt.2

เว็บไซต์อื่นๆน่าสนใจ >>>>> เว็บดูบอลสดฟรี

>>>>> UFABET